ยอดชายานักปรุงพิษ นิยาย บท 174

ฮ่องเต้เจาเหวินก้มลงไปทอดพระเนตรมอง พระพักตร์ของพระองค์ดูไม่ได้ยิ่งกว่าเก่า กระดาษในมือถูกฉีกทิ้งและโยนขว้างออกไป พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ซูจื่ออวี๋!”

ซูจื่ออวี๋เร่งรีบคลานเข่าขึ้นมาด้านหน้า “หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ”

ฮ่องเต้เจาเหวินตำหนออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าเพียงตัวเองฉลาดแล้วจะเล่นกลให้ผู้อื่นสับสน เจ้าเคยบอกว่าอาหารจำเป็นต่อชาวเมือง หรือว่าไม่เข้าใจความสำคัญของปัญหาข้อนี้? เจ้าวาดของสิ่งพวกนี้หมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่เข้าใจข้ายังพอทนได้ แต่เจ้าจะดูหมิ่นข้าเช่นนี้ไม่ได้!”

เสนาบดีซูสั่นสะท้านไปทั้งร่างกายและรีบตั้งท่าจะลุกขึ้นพื่อขอพระราชทานอภัยแต่ซูจื่ออวี๋ชิงพูดขึ้นมาก่อน “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ดูหมิ่นแม้แต่น้อย ในทางกลับกันหม่อมฉันเข้าใจถึงปัญหานี้และได้ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่ครึ่งชั่วยาม”

ฮ่องเต้เจาเหวินขมวดคิ้วและตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นผลของการคิดของเจ้าเป็นเช่นใด? นี่มันไม่ใช่แค่ภาพดอกไม้ใบหญ้าหรือ?” ฮ่องเต้เจาเหวินชี้ไปยังภาพวาดที่ถูกฉีกและโดนทิ้งไว้ด้วยพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

อย่างไรเสียเรื่องที่เกิดในตอนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่วันนี้ต้องถูกหยิบยกขึ้นมาใหม่ตัวเขาที่เป็นฮ่องเต้ก็รู้สึกหนักใจอยู่แล้ว แต่ซูจื่ออวี๋กลับมองเรื่องที่ร้ายแรงและน่าเศร้าเป็นเพียงเรื่องน่าขัน มันทำให้เขาผู้เป็นถึงผู้ปกครองประเทศระงับโทสะเอาไว้ไม่ได้

ซูจื่ออวี๋สูดหายใจเข้าไปลึกๆและพูดต่อ “มารดากล่าวว่า พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว เราสามารถนำมันมาเป็นบทเรียนได้ แต่ไม่สามารถที่จะจมปลักอยู่กับมัน สิ่งที่หม่อนฉันควรกระทำต่อไปคือการดูแลกระต่ายน้อยทั้งสามตัวที่เหลือและทำให้พวกมันเติบโตอย่างมีความสุข ทำให้พวกมันพึ่งพาตัวเองและให้พวกมันกลับคืนสู่ป่าเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือได้ เป็นมนุษย์ต้องมองไปข้างหน้า เศร้าโศกเสียใจแค่ไหนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้”

ซูจื่ออวี๋หยิบภาพขึ้นมาให้กับฮ่องเต้เจาเหวินทอดพระเนตรก่อนจะพูดต่อว่า “ฝ่าบาท เมื่อปีเชิ่งคังที่สิบ หม่อมฉันยังไม่ได้เกิดมา ถึงแม้ในตอนนี้หม่อมฉันจะอายุสิบห้าปี แต่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเดินทัพจับศึกการขนเสบียงและหญ้าม้าใดๆ หม่อมฉันรู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หม่อมฉันไม่สามารถที่จะแสร้งเข้าใจเมื่อไม่เข้าใจ เรี่องที่ผ่านไปแล้วหม่อมฉันไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขได้ แต่ภาพที่หม่อมฉันวาดนี้สามารถช่วยให้ตงโจววางแผนล่วงหน้าได้และให้ฝ่าบาทดูแล‘กระต่ายทั้งสามตัว’ที่เหลืออยู่ พืชชนิดนี้เรียกว่าตระไคร่แดงหรือที่มักเรียกกันว่ามันเทศ เมื่อเทียบกับข้าวแล้ว มันเทศนั้นปลูกง่ายกว่ามาก ให้ผลผลิตที่สูงและต้องการน้ำที่น้อย ไม่ว่าจะภัยแล้งหรือน้ำท่วมก็ยังเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยชาวบ้านจากภัยพิบัติได้! หากฝ่าทมีพระราชโองการให้ผู้คนค้นหาและปลูกกันอย่างแพร่หลาย ถ้าเช่นนั้นตงโจวก็จะไม่ประสบกันโศกนาฎกรรมเยี่ยงสิบหกปีที่แล้วเพคะ นี่...เป็นคำตอบของหม่อมฉัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายานักปรุงพิษ