ยอดชายานักปรุงพิษ นิยาย บท 45

ซื่อจี้ถูกตบและเหม่อลอยไปครึ่งวัน ซูจื่ออวี๋หันหลังแล้วเพื่อจะเดินไปที่หอสมบัติหลิงหลง

ซื่อจี้มีตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “คุณหนูสาม”

ซูจื่ออวี๋หันกลับไปมองซื่อจี้ เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เจ้าบอกว่าพี่ใหญ่ใช้ไข่มุกที่แพงมาบดเป็นแป้งเพื่อขัดเท้าหรือ? พระเจ้า แบบนี้มันสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”

ซื่อจี้ตะลึงงัน นางเคยพูดเช่นนั้นตอนไหน? แต่... แต่คำพูดของซูจื่ออวี๋เป็นความจริง เพื่อให้แน่ใจบริเวณใดที่ไม่ใช่เนื้ออ่อน คุณหนูใหญ่จะบดไข่มุกที่ขุนนางชั้นล่างนำมามอบให้เป็นผงไว้แช่เท้า

แต่เรื่องฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองเช่นนี้ จะให้เผยแพร่ออกไปข้างนอกได้อย่างไร?

แม้ว่าซื่อจี้จะไม่เข้าใจเรื่องส่วนได้ส่วนเสีย แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรพูดออกไปข้างนอก

ซื่อจี้โต้แย้งว่า “บ่าวไปพูดตั้ง...”

ไม่รอให้ซื่อจี้พูดจบ ซูจื่ออวี๋ก็เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เอ๋? เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าบอกว่าพี่รองไม่ใช้ของจากร้านอื่นเลยนอกจากของในหอสมบัติหลิงหลงงั้นหรือ? ต่างหูคู่หนึ่งก็เพียงพอให้ครอบครัวห้าคนที่ได้กินข้าวไปสามปี?”

พอได้ยินเช่นนั้น ชาวบ้านรอบๆ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์

ชาวบ้านหนึ่งพูดว่า “เสนาบดีซูคนนี้ได้เงินเดือนตกปีละเท่าไหร่กัน ให้ลูกสาวของตัวเองใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนี้ได้อย่างไร นี่พูดจริงหรือไม่?”

ชาวบ้านสองก็เอ่ยว่า “ส่วนใหญ่เป็นความจริง ของในหอสมบัติหลิงหลงแพงหูฉีก แต่ข้าได้ยินมาว่าทุกเดือนพวกเขาจะนำแบบใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามาในร้านไปขายที่จวนเสนาบดี”

ชาวบ้านสามก็พูดว่า “ไอ๊โย นี่มันจะไปนับประสาอะไร ต่อคุณหนูรองซูคนนั้นกินลิ้นเป็ด ต้องการเนื้อที่นุ่มที่สุดบนลิ้นเป็ด ลิ้นเป็ดจานหนึ่งก็ต้องฆ่าเป็ดกว่าร้อยตัว มันมากกว่าคำว่าฟุ่มเฟือย ช่างรวยคับฟ้าจริงๆ

“มันไร้เหตุผลเกินไป”

“ถนนเล่ากระดูกขาวหนาวศพถม”

“ไหนเลยจะใช่ขุนนางปกครองประชาชน”

……

เมื่อเห็นเสียงไม่พอใจของประชาชนที่อยู่รอบๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของซื่อจี้ก็ตกใจจนซีดขาว เรื่องเหล่านี้ควรจะเก็บไว้ในบ้าน ทำก็ทำแล้ว แต่ถ้าแพร่กระจายออกไปเกรงว่าจะไม่น่าฟัง

ซื่อจี้มีทัศนคติที่อ่อนลง นางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณหนูสาม คุณหนูสาม...”

ซูจื่ออวี๋เห็นซื่อจี้กลัวจนตัวสั่น จึงแสร้งเป็นพูดอย่างประหลาดใจ “อะไรนะ เจ้าบอกว่าท่านพ่อข้าชอบเจ้า อยากรับเจ้าเป็นอนุงั้นรึ?”

เมื่อพูดเช่นนี้ออกมาซื่อจี้ก็ตกใจจนโง่เขลาแล้ว ขาทั้งสองข้างอ่อนลงก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้น อ้าปากร้องขอความเมตตาว่า “คุณหนูสาม บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวสำนึกผิดแล้ว ท่านอย่าพูดอะไรเหลวไหลอีกเลยนะ” ถ้าคำพูดนี้เข้าหูของฮูหยินซู นางจะมีหนทางรอดหรือไม่?

ซูจื่ออวี๋พูดอย่างกลัดกลุ้ม “แม้ว่าเจ้าจะคุกเข่าขอร้องข้ามันก็ไม่มีประโยชน์ ข้าเป็นลูกสาวอนุ จะไปยุ่งเรื่องในบ้านของท่านพ่อได้อย่างไร?”

ซูจื่ออวี๋ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนว่าใช่ ประกอบกับการคุกเข่าขอร้องของซื่อจี้ ชาวบ้านที่มามุงดูก็เกิดภาพลักษณ์ใหม่ของเสนาบดีซูขึ้นมาในใจทันที

นั่นคือ คนรวมบ้าตัณหา

ซื่อจี้ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่น่าฟังอยู่รอบๆ ก็รีบอธิบายให้ทุกคนฟัง “ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีอะไร ไม่มีจริงๆ”

ซูจื่ออวี๋เห็นซื่อจี้กลัวจนตื่นตระหนก ก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้นาง พยุงนางขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนพูดมากๆ จากข่าวลือกลายเป็นข่าวจริง ทุกคนปากสว่างทั้งนั้น ฮูหยินใหญ่มีวิธีการที่ดีมาก สิ่งที่ข้าเรียนรู้มาไม่แย่เลยใช่หรือไม่?”

ในอดีตฮูหยินใหญ่ใส่ร้ายแม่ผู้ให้กำเนิดของนางอย่างไร ซูจื่อเยียนใส่ร้ายนางว่าสำส่อนอย่างไร ตอนนี้ นางก็จะใช้วิธีเดียวกันกับพวกนาง

ซื่อจี้มองซูจื่ออวี๋อย่างตะลึงงัน ท่าทางของนางราวกับเห็นผี

“เจ้า..เจ้าไม่ใช่คุณหนูสาม เจ้าไม่ใช่...” ซื่อจี้ตกใจผลักซูจื่ออวี๋ออกไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายานักปรุงพิษ