ยอดชายานักปรุงพิษ นิยาย บท 7

หลังจากที่เสนาบดีซูตำหนิซูจื่ออวี๋แล้ว เขาได้รีบหันมาขอประทานอภัยจากองค์ฮองเฮาและพระชายาอานชินอ๋องด้วยความนอบน้อม

“ฮองเฮาโปรดอภัย พระชายาอ๋องโปรดอภัย นางยังเด็กไม่รู้ความจึงทำตามอำเภอใจ ผู้น้อยจะกลับไปสั่งสอนให้เข้มงวดกว่าเดิม ลูกซู ยังไม่วางอานซื่อจื่อลงอีก ปล่อยให้ซื่อจื่ออยู่ในท่วงท่าแบบนี้ได้อย่างไร”

ซูจื่ออวี๋ต้องของยอมรับว่าร่างสูงใหญ่ของอานซื่อจื่อที่อยู่บนขาของนางตอนนี้เหมือนกับเด็กนั้นมันน่าเกลียดจริงๆ

แต่เสียหน้าก็ยังดีกว่าเสียชีวิต

ซูจื่ออวี๋เพิกเฉยต่อเสนาบดีซู นางกำนิ้วทั้งห้าเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นและทุบลงไปที่กลางแผ่นหลังของอานซื่อจื่อ

เสียงตึกตึกตึก ดังราวกับเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ ทุกคนที่ได้ฟัง ณ ตรงนั้น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวาย

เสนาบดีซูเห็นว่าซูจื่ออวี๋ตอนนี้มีท้าทายตนมาก เขาจึงพูดด้วยความโกรธว่า “ตลอดสิบหกปีมานี้ เจ้าไม่เคยร่ำเรียนวิชาการแพทย์ แล้วเจ้ามาวุ่นวายอะไรที่นี่! เพราะมารดาของเจ้าตายไปแล้ว เจ้าอยากจะฆ่าตระกูลซูตายทั้งหมดหรือ?”

ซเสนาบดีซูกล่าวเรื่องนี้ออกมา ชั่วพริบตาเดียวซูจื่ออวี๋ก็กลายเป็นหญิงชั่วร้ายที่คิดจะลอบสังหารครอบครัวของตัวเองอีกครั้ง

ซู่จื่ออวี๋รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย แต่นางกลับไม่ได้ใส่ใจเสนาบดีซูเช่นเดิมเพราะในเวลานี้สิ่งที่ต้องทำคือการรีบช่วยชีวิตคน

เสนาบดีซูที่เห็นท่าทางของนางรู้สึกโมโหราวกับโดนสุมไฟ เขาก้าวเข้ามาหมายจะดึงซูจื่ออวี๋ให้ลุกขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ซื่อจื่ออานชินอ๋องที่หยุดหายใจไปในตอนแรกนั้น ได้สำลักออกมา

“แค่กแค่กแค่ก! แค่กแค่กแค่ก!”

ซื่อจื่ออานชินอ๋องยังมีชีวิตอยู่?!

เกาลัดหวานลูกหนึ่งที่ยังไม่ทันได้บดเคี้ยวกลิ้งออกมาเต็มไปด้วยความสกปรก ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะพากันปิดปากปิดจมูกและถอยหลังลงไป กลับกันกับซูจื่ออวี๋ที่มีสีหน้าเฉยเมย นางและชิงโจวร่วมแรงกันพยุงร่างของอานซื่อจื่อให้ลุกขึ้นมานั่ง

ใบหน้าของอานซื่อจื่อทั้งเขียวทั้งม่วง เขาอ้าปากหอบเอาอากาศหายใจเข้าไปอย่างหนัก พระชายาอานชินอ๋องเห็นภาพนี้ก็รีบเข้ามาหาและสอบถามด้วยความกระวนกระวาย “ลูกซาน ลูกซานเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายานักปรุงพิษ