“ท่านปู่ไม่ได้ติดตามหลิงอวี๋ตลอดเวลา แต่ที่หลิงอวี๋อยากจะพูดก็คือ หลิงอวี๋จำคำสั่งสอนของท่านปู่ได้เสมอ”
“ดังนั้นแม้ว่าหลิงอวี๋จะทะเลาะกับผู้อื่นอยู่ข้างนอก กระทำเรื่องไร้กาลเทศะเหล่านั้น แต่หลิงอวี๋ยึดถือคำสั่งสอนของท่านปู่ ไม่ทำเรื่องประเภทคบชู้นั่น!”
หลิงอวี๋กล่าวอย่างใจเย็น “หลิงอวี๋ยอมรับว่า พิสมัยท่านอ๋องอี้ในปีนั้นและใช้กลอุบายเล็กน้อยจริง แต่หลิงอวี๋กล้าสาบานต่อสรวงสวรรค์ว่า หม่อมฉันติดตามท่านอ๋องอี้ด้วยความบริสุทธิ์ใสสะอาด!”
“ท่านอ๋องอี้ ท่านตรัสอย่างยุติธรรมได้หรือไม่? ว่าครานั้นหลิงอวี๋บริสุทธิ์หรือเปล่า?”
เซียวหลิยเทียนตกตะลึง ในวันนั้นที่เขาถูกหลิงอวี๋วางแผนทำร้าย เนื่องเพราะเดือดดาลมากไปเลยไม่ได้จับตาดูละเอียดว่านางบริสุทธิ์หรือไม่
และเมื่อครู่หลิงอวี๋ก็กล่าวได้ถูกต้อง เขาไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่านางคบชู้ เพียงพึ่งความสงสัยตัดสินความผิดของนางนั้นไม่ยุติธรรม!
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปทางตน
เซียวหลินเทียนค่อนข้างรู้สึกขัดแย้งที่จะยอมรับว่านางบริสุทธิ์หรือไม่ยอมรับดี?
ถ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นหลิงอวี๋ก็จะถูกลากตัวไปตัดหัว!
แต่หากยอมรับ นั่นมิใช่คือการช่วยหลิงอวี๋หรือ?
เป็นอุบายของนางเองทีทำให้ตัวนางเองสูญเสียคนที่รักไป!
มิใช่ว่าเขาโกรธแค้นนางมานับหลายปีเพราะเรื่องนี้หรือไร?
เมื่อหลิงอวี๋เห็นเซียวหลินเทียนครุ่นคิดไม่กล่าวคำใด ก็เดาความคิดเขาออกได้คลุมเครือ
เซียวหลินเทียนรังเกียจนาง ฉะนั้นเลยเกิดความขัดแย้งขึ้นว่าควรช่วยนางพูดดีหรือไม่
หลิงอวี๋หัวเราะเยาะยัน เอ่ยถามด้วยวาจาข่มขู่บีบคั้น “ทำไม คำถามนี้ตอบยากนักหรือ? ท่านอ๋องถึงคิดนานเพียงนี้?”
“หม่อมฉัน หลิงอวี๋ กล้าทำกล้ารับ ท่านอ๋องอี้คือบุรุษสูงส่งเทียมฟ้ามั่นคงเทียมดิน ยังเทียบกับข้าสตรีตัวเล็ก ๆ มิได้อย่างนั้นหรือเพคะ?”
แม้เซียวหลินเทียนถูกนางยั่วยุ แต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน สายตาชำเลืองมองหลิงเยวี่ยที่จับมือหลิงอวี๋ไว้แน่น ดวงตากลมโตของหลิงเยวี่ยก็กำลังมองยังเขาอย่างสับสนมึนงง
เซียวหลินเทียนนึกถึงภาพน่าเวทนาที่เด็กคนนี้ถูกลากไปเมื่อครู่ หัวใจก็สั่นสะท้านพลางขบฟันกล่าวคำเสียงดัง
“ตัวข้าผู้เป็นอ๋องเป็นพยานได้ว่า หลิงอวี๋ติดตามข้าด้วยความบริสุทธิ์! นางมีเลือดพรหมจรรย์...”
เขาไม่ได้อยากพูดช่วยหลิงอวี๋ เขาแค่ไม่อยากเห็นเด็กอายุน้อยขนาดนี้มาพัวพันจนตายเพราะหลิงอวี๋เช่นนี้!
หากหลิงอวี๋มิได้คบชู้ นั่นแปลว่าเด็กคนนี้ก็คือลูกของตน เขาไม่อาจมองดูเฉย ๆ ไม่ช่วยได้!
ครั้นกล่าวออกไป สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนเหล่านั้นพลันหน้าแดงเขินอายกันถ้วนหน้า
แต่เสิ่นจวนกลับกล่าวเรียกอย่างลนลาน “ท่านพี่หลินเทียน ท่านอย่าถูกนางหลอก! นางอาจจะกรีดมือตัวเองทำรอยเลือดพวกนั้นเองเพคะ!”
“ใช่เพคะ อุบายเช่นนี้ใช้กันเกลื่อนกลาด! เลือดพรหมจรรย์ก็อาจจะเป็นการกรีดมือทำรอยเลือดออกมาเพคะ!”
ชายาผิงหยางเป็นสหายในกลุ่มที่ดี รีบช่วยเสิ่นจวนทันเวลา
ก่อนที่ผู้คนที่ดูความบันเทิงจะซุบซิบนินทากัน
หลิงอวี๋จ้องชายาผิงหยางอย่างลึกซึ้ง บัญชีนี้ขอจำไว้ก่อนคอยชำระทีหลัง!
นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวคำ “ชายาผิงหยางช่างมากความรู้ประสบการณ์เสียจริง! อุบายเช่นนี้ล้วนทราบทั้งสิ้น น่าเลื่อมใสนัก!”
ครั้นแล้วนางก็เปลี่ยนบทสนทนา ทอดมองเสิ่นจวนอย่างถากถางกล่าวว่า “คุณหนูเสิ่นบุตรีที่ยังมิได้ออกเรือน แม้แต่การตบแต่งก็ยังมิได้กล่าวก็รู้แล้วว่าเลือดพรหมจรรย์คือเลือดอะไร...”
“แถมยังรู้ด้วยว่า ต้องกรีดนิ้วมือทำขึ้นมา… นี่ก็ทำให้หลิงอวี๋เลื่อมใสนัก...”
“ท่านแม่ข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว ท่านปู่ข้าก็มิได้สอนสิ่งเหล่านี้แก่ข้า! ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ… ไม่นึกเลยว่าจะสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย!”
คำพูดที่กล่าวนี้ ทำให้เสิ่นจวนโกรธจนทั่วหน้าแดงก่ำ
สตรีในลานต่างแอบหัวเราะกันขึ้นมา ผู้ที่คิดจะสู่ขอแซ่เสิ่นล้วนถอนตัวกลางคันอย่างเงียบเชียบ
แม้แต่ไทเฮาผู้ทรงเกียรติบนดวงหน้างามสง่าก็เปื้อนยิ้มสายหนึ่งเช่นกัน
“หลิงอวี๋ เจ้าอย่ากล่าวส่งเดชไปเรื่อย ข้าแค่พูดช่วยลูกพี่ลูกน้องข้ามิได้หรือไร? เขาไม่เข้าใจ หรือว่าเจ้าไม่ยินยอมให้เราเตือนสติเขาเล่า?” เสิ่นจวนกล่าวอย่างลนลาน
หลิงอวี๋หัวเราะเยาะหยัน “นี่เจ้าซักถามถึงศักดิ์ศรีท่านอ๋องอี้ในฐานะผู้ชายหรือ? หรือจะบอกว่าเจ้าเข้าใจดีมากกว่าบุรุษ?”
“เจ้าผ่านผู้ชายมามากเท่าใดกันรึ ถึงมากประสบการณ์ขนาดนี้?”
โคตรมารดามันเถอะ ยอมให้หน่อยก็เอาใหญ่เลยรึ!
วาจาของหลิงอวี๋ไม่เกรงใจอีกต่อไป อยากพูดหยาบคายสิ่งใดก็จะพูดสิ่งนั้น!
“เจ้า… เจ้า...”
เสิ่นจวนอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี การมาถามนางว่าผ่านผู้ชายมามากเท่าใดแล้ว คำพูดนี้จะทำให้คนอื่นคิดว่านางเป็นคนอย่างไรเล่า!
“หลิงอวี๋ เจ้าอย่าเปลี่ยนเรื่อง! แม้ว่าเจ้าจะสภาพพรหมจารีในครั้งแรก แต่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าลูกนอกสมรสคนนี้เกิดแปดเดือนมิได้อยู่ดี!”
ชายาผิงหยางเห็นเสิ่นจวนแพ้พ่ายศึก ตนจึงเริ่มอ้างถึงประเด็นเรื่องนี้ เนื่องนางยังจำได้ว่าจักรพรรดิอู่อันต้องการจะประหารหลิงอวี๋ด้วยการตวัดดาบฟันตายเพราะเรื่องนี้
หลิงอวี๋จ้องมองนางพลางกล่าวอย่างสงบ “เยวี่ยเยวี่ยคือบุตรของท่านอ๋องอี้จริงและที่ภายนอกบอกว่าให้กำเนิดแปดเดือน… นี่ก็คือเรื่องจริง!”
ชายาผิงหยางคว้าโอกาสทักขึ้น “พวกเจ้าล้วนได้ยินแล้วใช่หรือไม่? นางยอมรับแล้วว่าให้กำเนิดลูกนอกสมรส!”
หลิงอวี๋บันดาลโทสะจนอยากตบนางสักหนึ่งฝ่ามือ คำก็ว่าลูกนอกสมรสสองคำก็ว่าลูกนอกสมรส แม้เขาจะเป็นจริงแต่ได้ไปกินข้าวกินเนื้อบ้านนางหรือปะไร?
สมสู่มารดามันเถอะ!
ชายาผิงหยางผู้นี้ วันนี้ยั่วโมโหข้ามากแล้วจริง ๆ!
หลิงหวี๋กัดฟันกรอดอย่างเงียบ ๆ ได้ เจ้ายั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่าก็อย่ามาโทษข้า หากข้าจะเปิดโปงอดีตอันโสมมของเจ้า…
ข้าก็จะรอดูว่าวันนี้ใครกันแน่ที่จะถูกขับไล่ออกจากวังหลวงอย่างจนตรอก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...