ท่านลุงไม่รอให้จักรพรรดิอู่อันได้ซักไซ้เอาความใด ๆ ก็ชิงเอ่ยขึ้นมา “พระชายาอ๋องอี้ แม้ว่าเจ้าจะติดหนี้เงินกู้อยู่ไม่น้อย ไม่มีเงินที่จะไปซื้อของกำนัลราคาแพง ๆ แต่ก็ไม่ควรถวายแจกันดินเผาเคลือบสีนี่มาแค่พอเป็นพิธีเช่นนี้นะ!”
“สิ่งนั้นมันราคาเท่าไหร่กันเอง! ยังจะเป็นของที่แตกอีก!”
“ได้ยินว่าเจ้าก็ไปกู้ยืมเงินมาเป็นหมื่นเพื่อที่จะซื้อดาบมีชื่อเสียงให้กับอ๋องอี้นี่! เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่กู้อีกสักหน่อย มาซื้อของกำนัลเช่นนั้นให้ไทเฮาเล่า?”
“หรือว่าในสายตาของเจ้า ไทเฮายังไม่ได้มีคุณค่าเทียบเทียมอ๋องอี้!”
ทันทีที่ประโยคนี้ออกมา สีหน้าของจักรพรรดิอู่อันก็แย่อีกกว่าเดิม สีหน้าของไทเฮาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแล้ว เรื่องสมบัติเงินทองนางไม่ได้สนใจเลย
จะให้มากให้น้อย แค่ให้ด้วยใจก็พอแล้ว!
เพื่อที่จะให้เกียรติหลิงอวี๋ นางยังเขียนเทียบเชิญให้หลิงอวี๋ด้วยตัวของนางเอง แต่หลิงอวี๋กลับละเลยตนเองเช่นนี้หรือ?
เดิมทีทุกคนจะผสมโรงคำพูดของท่านลุงไปเพื่อจะดูถูกหลิงอวี๋ แต่นึกถึงเมื่อครู่ที่เอ็ดตะโรกันจนเกือบถูกองค์จักรพรรดิลงโทษ
พอนึกถึงจุดจบของพระชายาผิงหยางอีก คนที่คิดจะช่วยพูดสนับสนุนในครั้งนี้ล้วนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไปง่าย ๆ อีกแล้ว
ท่านลุง!
หลิงอวี๋มองเขา ในหัวก็ปรากฏภาพที่เจ้าของร่างเดิมทะเลาะกับใครบางคนที่บ่อนการพนัน นางจำได้ว่าชายผู้นั้นก็คือเส้าเจิ้งซาน
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเนื้อหนัง ที่หัวใช้น้ำมันผมทำให้มันเยิ้ม เปลือกตาบวม แค่มองก็รู้ว่าเกิดจากการปล่อยตัวมากเกินไป
เส้าเจิ้งซานเป็นพี่ชายของพระสนมเส้าเฟย หลิงอวี๋มองพระสนมเส้าเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังฮองเฮาเว่ย แล้วไตร่ตรองดูสักหน่อย ไม่อยากไปล่วงเกินใครมากเกินไป
นางแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “ท่านลุงพูดเช่นนี้ เช่นนั้นของกำนัลที่ส่งให้จะต้องล้ำค่ายิ่งกว่าหลิงอวี๋มากเลย! เหตุใดไม่เอาออกมาให้ทุกคนได้ดูกันเล่า!”
เส้าเจิ้งซานสีหน้าทะนงตัว พลางโบกมืออย่างภาคภูมิใจ “เจ้าหน้าที่ บอกนางไป ว่าข้าถวายสิ่งใด!”
เจ้าหน้าที่ดูใบรายการของกำนัล พลางเอ่ยอย่างสุภาพ “ของกำนัลที่ท่านถวายก็คือสร้อยข้อมือไม้กฤษณาขอรับ!”
ขันทีน้อยได้ทำการเอาสร้อยมือไม้กฤษณาออกมาแสดงให้ทุกคนได้เห็น เป็นสร้อยข้อมือที่ทั้งกลมทั้งหนา ในลูกปัดไม้ทุกเม็ดจะมีการแกะสลักพระพุทธรูปด้วย
หลายปีมานี้ไทเฮาเชื่อในพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นสร้อยข้อมือนี้ก็เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “นี่ทำจากไม้กฤษณาจริงหรือ?”
“กราบทูลไทเฮา นี่ไม่เพียงแต่จะทำจากไม้กฤษณา! แต่มันได้รับการปลุกเสกโดยพระอาจารย์หงอีแห่งวัดหลิงเจ้าด้วย!”
ขันทีน้อยมีไหวพริบดีมาก เห็นไทเฮาชอบ ก็คุกเข่าเข้าไปถวายสร้อยข้อมือให้ไทเฮา
ไทเฮาชอบเสียจนวางไม่ลง พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “ของกำนัลนี้ดีมาก! ข้าชอบมาก ท่านใส่ใจมาก!”
เส้าเจิ้งซานเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างภูมิใจ ยิ้มพลางเอ่ย “ของกำนัลนี้ข้าเตรียมมาอย่างรอบคอบ! แม้ว่าจะจ่ายไปเกือบแสน แต่ขอเพียงไทเฮาชอบ กระหม่อมก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมไม่เหมือนกับคนบางคน ที่เอาแจกันดินเผาเคลือบสีราคาไม่กี่สิบตำลึงมาถวายไทเฮาพอเป็นพิธี!”
คำพูดนี้มันค่อนข้างเลวร้ายไปหน่อย!
หลิงอวี๋เห็นคิ้วที่คลายของไทเฮาขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เดิมทีนางไม่คิดจะล่วงเกินอะไรใคร แต่เวลานี้ไม่สนใจแล้ว
หลิงอวี๋ลุกขึ้นยืน ลูบหลิงเยวี่ยอย่างปลอบใจ เป็นการแสดงว่าให้เขานั่งรอตนอยู่ที่เดิม แล้วนางก็ก้าวไปข้างหน้า
“หลิงอวี๋ยังไม่เคยเห็นข้อมือไม้กฤษณาเลยเพคะ แต่ศึกษาเกี่ยวกับไม้กฤษณามาบ้าง! ไทเฮาโปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วย หลิงอวี๋ขอดูสร้อยข้อมือบนข้อมือของไทเฮาได้หรือไม่เพคะ!”
หลิงอวี๋ไปหยุดตรงหน้าเวที แล้วเอ่ยถามอย่างเคารพ
“บ้านนอก!” เส้าเจิ้งซานกดเสียงด่าอย่างดูถูก
เสิ่นจวนกับเจิงจื่ออวี้ไม่กล้าเยาะเย้ยหลิงอวี๋เสียงดัง จึงทำได้เพียงดูถูกเสียงเบา ๆ แทน
“ช่างไม่เคยเห็นโลกกว้างเลยจริง ๆ กระทั่งสร้อยข้อมือไม้กฤษณาก็ไม่เคยเห็น ยังจะกล้าพูดว่าศึกษาเรื่องไม้กฤษณามาบ้างอีก!”
“พูดคำนี้ออกมาไม่กลัวจะอับอายคนเขาเลย!”
แม้ว่าไทเฮาจะไม่พอใจเรื่องที่หลิงอวี๋ไม่ให้เกียรติตน แต่ต่อหน้าทุกคนก็ไม่สามารถแสดงท่าทางไม่สุภาพออกมาได้ จึงส่งสร้อยข้อมือไม้กฤษณาให้ขันทีน้อย
“ในเมื่อพระชายาอ๋องอี้อยากเห็น ก็เอาไปให้นางดูเถิด!”
ขันทีน้อยเซี่ยรับสร้อยข้อมือไม้กฤษณามาด้วยสองมือ จากนั้นส่งให้หลิงอวี๋
หลิงอวี๋ยิ้ม “ขันทีถือไว้เถิด หลิงอวี๋แค่ได้มองก็เพียงพอแล้ว!”
ขันทีน้อยเซี่ยมองนาง มือก็ถือสร้อยข้อมือไม้กฤษณาไว้ให้หลิงอวี๋เชยชม
“การแกะสลักนี้ไม่เลวทีเดียว ฝีมือประณีตมาก รูปแต่ละชิ้นบนนั้นล้วนมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกเลย!”
หลิงอวี๋มองไปด้วยเอ่ยชื่นชมไปด้วย
“แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นงานที่ปรมาจารย์งานแกะสลักร่วมสมัยอย่างจูจู้แกะสลักด้วยตนเอง! งานฝีมือนี้มีมูลค่ามาก!”
“ข้าต้องไปเรียงตามลำดับขอให้เขาทำตั้งแต่ปีที่แล้ว รอมาหนึ่งปีเต็มถึงจะได้รับมา!”
ว้าว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นงานแกะสลักของจูจู้!
คนที่รู้จักงานศิลปะต่างมองมาด้วยความอิจฉา เพราะว่างานแกะสลักของจูจู้นั้นล้วนเป็นงานที่น่าทึ่ง เขามีชื่อเสียงพอ ๆ กับปรมาจารย์เหลียนหมิงในราชวงศ์ก่อนเลย
ชิ้นงานของเขาบนโลกนี้มีอยู่น้อยมาก ยากที่จะได้เห็น อย่าว่าแต่จะได้ครอบครองสักชิ้นหนึ่งเลย!
พวกเขาต่างครุ่นคิดว่าควรเลียนแบบความหน้าด้านของหลิงอวี๋แล้วก้าวออกไปดูหรือไม่
“อืม งานฝีมือนี้ ไม่เสียแรงเลยที่ท่านลุงรอตามลำดับมาถึงหนึ่งปี!”
หลิงอวี๋พยักหน้า แต่กลับเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนต่างตกใจอ้าปากค้าง “หากเป็นงานแกะสลักที่จูจู้แกะสลักมันด้วยตัวเองจริง ๆ อย่าว่าแต่ต้องรอหนึ่งปีเลย แม้ว่าจะต้องรอหลายปีก็คุ้มค่า!”
“น่าเสียดาย ที่นี่ไม่ใช่งานที่จูจู้แกะสลักด้วยตัวเอง อย่างมากก็เป็นเพียงช่างแกะสลักที่แกะสลักเลียนแบบเขาเท่านั้น!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...