เส้าเจิ้งซานอึ้งไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็โวยขึ้นมาอย่างหวั่นวิตก “หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจอะไรก็อย่าเที่ยวพูดจาเหลวไหล! นี่จะไม่ใช่งานแกะสลักของปรมาจารย์จูจู้ได้เยี่ยงไร?”
“เจ้าไม่เคยเห็นงานฝีมือของปรมาจารย์จูจู้เสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงกล้าพูดอย่างไม่ละอายว่าเป็นของปลอม? อีกอย่าง ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนเจ้าเองก็ไม่รู้สักอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าใจงานศิลปะเช่นนี้หรือ?”
เหล่าขุนนางและฮูหยินด้านล่างที่ชื่นชอบงานแกะสลักต่างพากันพยักหน้า
หลิงอวี๋นั้นโง่เขลาเบาปัญญา ชื่อเสียงของนางที่ไม่มีความสามารถทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางจะมาเข้าใจงานศิลปะที่งดงามชั้นสูงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!
“หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจก็อย่างแสร้งทำเป็นเข้าใจเลย! มาแอบอ้างทำเป็นผู้เชี่ยวชาญ มันจะไม่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!”
“เจ้าแยกแยะได้เพียงแค่เสื้อผ้าดีหรือไม่น่ะสิ! เพราะว่าสามารถทะเลาะกับคนอื่นเพื่อเสื้อผ้าเครื่องประดับได้!”
“ใช่ คนเช่นเจ้ามาเชยชมผลงานของปรมาจารย์จูจู้ ก็จะเป็นการดูหมิ่นปรมาจารย์จูจู้ รีบหุบปากไปเสียเถิด!”
คนจำนวนต่างพากันดูถูกหลิงอวี๋ แม้ว่าจะไม่กล้าหัวเราะออกเสียงต่อหน้าจักรพรรดิอู่อัน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะถ่มน้ำลายจนหลิงอวี๋จมน้ำลายตายได้!
“ท่านลุงอย่าได้รีบร้อน! ในเมื่อข้ากล้าพูด ก็ย่อมต้องมีหลักฐานยืนยัน!”
หลิงอวี๋ยิ้มบาง ๆ พลางชี้ไปที่สร้อยข้อมือแล้วพูด “ปรมาจารย์จูจู้แกะสลักเสาให้วัดพระใหญ่เพื่อเป็นสมบัติของวัดไม่ใช่หรือ? ข้าจำได้ว่า ปีนั้นเพราะว่าองค์จักรพรรดิขอฝน หลังจากนั้นดินฟ้าอากาศก็ถูกต้องตามฤดูกาล!”
“ปรมาจารย์จูจู้จึงใช้เวลาสองปีในการแกะสลักเสาต้นนั้น เพื่อเป็นการขอบคุณองค์จักรพรรดิที่มีพระทัยทรงห่วงใยแว่นแคว้น ทรงห่วงใยราษฎร!”
“ตอนนั้นองค์จักรพรรดิยังมองให้เป็นสมบัติของแคว้นเจิ้นด้วย! อีกทั้งยังมีการจัดงานเฉลิมฉลองในกับเสาต้นนี้โดยเฉพาะเลย!”
เดิมทีองค์จักรพรรดิอู่อันก็ฟังอย่างรำคาญ แต่พอได้ยินหลิงอวี๋ชมตนเองว่าห่วงใยแว่นแคว้นและห่วงใยราษฎรแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้น เขาพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงเสาต้นนั้น นั่นเป็นงานฝีมือประณีตละเอียดอ่อนอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่เขาไปจะต้องไปหยุดอยู่ใต้เสาต้นนั้นสองชั่วยาม เพื่อชื่นชมผลงานชิ้นเอกของปรมาจารย์จูจู้
“เช่นนั้นสมบัติของแคว้นเจิ้น คนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากก็ต้องเคยได้ชื่นชมสิ!”
หลิงอวี๋พูดเรียบ ๆ “บนนั้นมีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ แบ่งออกเป็นฉือกั๋วเทียนหวาง(ท้าวธตรฐมหาราช)ทางทิศตะวันออก เจินจ่างเทียนหวาง(ท้าววิรุฬหกมหาราช)ทางทิศใต้ กว่างมู่เทียนหวาง(ท้าววิรุฬปักข์มหาราช)ทางทิศตะวันตก และตัวเหวินเทียนหวาง(ท้าวกุเวรมหาราช)ทางทิศเหนือที่จัดการดูแลให้ดินฟ้าอากาศถูกต้องตามฤดูกาล!”
หลิงอวี๋กวาดสายตาหาทุกคนโดยรอบ พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “มีใครจำได้บ้าง ว่าในมือของเจินจ่างเทียนหวาง(ท้าววิรุฬหกมหาราช)ทางทิศใต้ถือดาบเยี่ยงไร?”
ทุกคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มีคนอยากออกหน้าจึงลุกขึ้นยืน “เยี่ยงนี้!”
เขาทำท่าถือดาบ
หลิงอวี๋มองไปทางทุกคนพลางเอ่ยถาม “เขาทำถูกหรือไม่?”
ทุกคนมองอย่างละเอียด แล้วต่างก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นเยี่ยงนี้เลย!”
“ใช่ ท่าถือดาบของท้าววิรุฬหกมหาราชทางใต้คือเยี่ยงนี้ เป็นที่รู้กันทั่วอยู่แล้ว! แต่เจินจ่างเทียนหวาง(ท้าววิรุฬหกมหาราช)บนสร้อยข้อมือของท่านลุงกลับมิได้ทำท่าทางเยี่ยงนี้!”
“ขันทีน้อย เจ้าดูดี ๆ แล้วทำท่าตามนี้ให้ทุกคนดูสิ!”
ขันทีน้อยเซี่ยมองท่าทางตามที่หลิงอวี๋ชี้ แล้วทำตามนั้นให้ทุกคนดู
“ตอนนี้ท่านทั้งหลายลองเทียบดูดี ๆ เถิดว่า ท่าทางของขันทีน้อยกับท่าทางของคุณชายท่านนั้นเมื่อครู่มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนกัน!” หลิงอวี๋เอ่ยถาม
ทุกคนสังเกตขันทีน้อยกับคุณชายท่านนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง
แล้วก็มีคนตะโกนขึ้นมา “ไม่มีอะไรต่างกันนี่! เหมือนกันทั้งหมด!”
มีคนที่หนักแน่น ดูอย่างละเอียดอีกครั้งพลางเอ่ย “มันแตกต่าง มีความแตกต่างเล็กน้อย!”
อันเจ๋อรู้สึกได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่า ในทุกประโยคของหลิงอวี๋ล้วนมีหลุมพรางอยู่ ดังนั้นการที่หลิงอวี๋ถามเช่นนี้ ย่อมต้องมีอะไรปิดบังแน่นอน
เขาลองเทียบดูอย่างละเอียด สุดท้ายก็พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “มันแตกต่าง!”
“องค์รัชทายาทอันเจ๋อทรงสามารถลุกขึ้นตรัสได้หรือไม่ว่าทั้งสองนี้มีอะไรที่ต่างกันเพคะ?” หลิงอวี๋มองไปทางเขายิ้ม ๆ
อันเจ๋อลุกขึ้นพลางกล่าว “คุณชายหลี่เทียบเรื่องท่าทางถือดาบของเจินจ่างเทียนหวาง(ท้าววิรุฬหกมหาราช)! ส่วนขันทีน้อยเซี่ย มือขวาของเขาถือดาบไว้เช่นนี้!”
อันเจ๋อทำท่าทาง พอถูกเขาเตือนเข้า พวกคนที่บอกว่าไม่แตกต่างจึงมองดูอีกครั้ง แล้วก็เห็นคุณชายหลี่นั้นถือดาบแน่นด้วยนิ้วทั้งห้า
ส่วนขันทีน้อยเซี่ย ใช้สี่นิ้วถือดาบและนิ้วก้อยชี้ลง
“นี่มันสามารถพิสูจน์อะไรได้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...