เส้าเจิ้งซานมองอย่างสับสน พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “งานทุกชิ้นของปรมาจารย์จูจู้นั้นมีรูปแบบต่างกัน ท่าทางของมือต่างกันก็เป็นเรื่องปกติมาก!”
“ท่านลุงพูดเช่นนี้ผิดแล้ว!”
หลิงอวี๋เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เทพเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์จูจู้ปฏิบัติต่องานทุกชิ้นของตัวเอง โดยเฉพาะการแกะสลักรูปเทพเจ้านั้น ไม่มีทางที่จะดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!”
“ท่าทางนี้ มันคือการดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์! ผู้ที่แกะสลักมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ หรือไม่ก็มีความสามารถแต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่ก็ชิงชังโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรม ถึงได้ดูหมิ่นท้าววิรุฬหกมหาราชด้วยท่าทางเช่นนี้!”
หลิงอวี๋ยกนิ้วก้อยของตนเองขึ้นมา พลางเอ่ยกับทุกคน “ในใต้หล้าของพวกเราการดูหมิ่นคนผู้หนึ่ง ก็ใช้นิ้วนี้แทนใช่หรือไม่?”
“ปรมาจารย์จูจู้เป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา อีกทั้งยังภูมิใจในความสามารถของตน งานของเขาไม่มีทางที่จะมีท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยามใครเช่นนี้! นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลยนะ อย่างแรกเลยก็คือ การไม่เคารพผลงานของตน!”
“พวกท่าาคิดดูเถิด ปรมาจารย์จูจู้เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เขาอาจจะมีการแสดงผลงานที่ไม่เหมือนกันได้ แต่จะใช้ท่าทางเช่นนี้หรือ?”
คำพูดของหลิงอวี๋เป็นการกระตุ้นการครุ่นคิดของทุกคนกระทั่งองค์จักรพรรดิกับไทเฮาก็ครุ่นคิดไปด้วยเช่นกัน
“แม้ว่าคำพูดของเจ้าจะมีเหตุผล แต่นอกจากสิ่งนี้แล้ว เจ้ายังมีหลักฐานใดมาพิสูจน์อีกว่า สร้อยข้อมือที่ข้าซื้อมานั้นเป็นของปลอม?”
เส้าเจิ้งซานเห็นว่าทุกคนค่อย ๆ ถูกหลงอวี๋พูดจนหวั่นไหวแล้ว ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างคับข้องใจ
หลิงอวี๋ก็ยังคงพูดอย่างไม่รีบร้อน “นี่ยิ่งง่ายเลย! คนที่อยู่ที่นี่น่าจะยังมีคนที่มีความรู้เรื่องไม้กฤษณานะ!”
“หลิงอวี๋ขอสอนคนที่เขาเชี่ยวชาญอยู่แล้วสักหน่อย ไม้กฤษณามีดอกหอม ผลหอม แล้วก็มีกลิ่นหวานหอม พวกไม้กฤษณานี้ค่อนข้างเหมาะกับการที่ผู้หญิงจะเอามาประดับ”
“ส่วนไม้กฤษณาบางชนิดจะค่อนข้างมีกลิ่นรุนแรง กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นดิน กลิ่นเหล่านี้ไม่ควรค่าที่จะซื้อ และอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้!”
“ไม้กฤษณาที่คุณภาพยิ่งสูง ก็จะยิ่งมีน้ำมันมาก และเมื่อปริมาณน้ำมันยิ่งมาก ก็จะยิ่งมีน้ำหนักมาก คุณภาพของมันก็จะยิ่งดี”
“การที่จะมั่นใจในเรื่องของปริมาณน้ำมันนั้นเราจะต้องดูในหลายปัจจัย ทั้งน้ำหนัก ทางน้ำมัน และสีเป็นต้น ไม้กฤษณาคุณภาพสูงให้ความรู้สึกหนักเมื่อสัมผัส แม้ทางน้ำมันจะไม่เรียบร้อยมากนัก แต่ก็จะชัดเจนมาก !”
หลิงอวี๋ชี้ไปที่สร้อยข้อมือในมือของขันทีน้อยเซี่ย พลางเอ่ยเรียบ ๆ “ท่านลุงดูที่สร้องข้อมือของท่านลุงอย่างละเอียดเถิด ทางน้ำมันนั้นดูวุ่นวายมากใช่หรือไม่ กลิ่นของมันก็มีกลิ่นเปรี้ยวจาง ๆ ใช่หรือไม่?”
เส้าเจิ้งซานหน้าเจื่อนไปทันที ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่พระสนมเส้าที่อยู่ข้าง ๆ ฮองเฮาเว่ยจ้องมองมาที่เขา
พระสนมเส้ามองออกแล้วว่า สิ่งที่หลิงอวี๋พูดมาแต่ละหัวข้อล้วนสมเหตุสมผล แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญไม้กฤษณา หากเขายังไปวุ่นวายในเรื่องนี้ก็รังแต่จะหาความอัปยศมาตัวก็เท่านั้น
เมื่อเส้าเจิ้งซานถูกพระสนมเส้าจ้องมองก็ได้สติ มือข้างหนึ่งจับเข้าที่สร้อยข้อมือในมือของขันทีน้อยเซี่ย พลางด่า
“ข้าต้องถูกหลอกเป็นแน่แท้! นี่เสียเงินไปหนึ่งแสนเต็ม ๆ เลยนะ! รอให้ข้ากลับไปคิดบัญชีกับเขาก่อนเถิด!”
“ไทเฮาโปรดทรงพระรานอภัย ของกำนัลนี้ วันหน้ากระหม่อมจะส่งมาถวายไทเฮาใหม่พ่ะย่ะค่ะ!”
เส้าเจิ้งซานครุ่นคิดต่อไป คิด ๆ ดูแล้วก็ยังคงไม่พอใจจึงเอ่ยขึ้น “ไทเฮา แม้ว่ากระหม่อมจะถูกหลอก แต่ก็มีความภักดีต่อไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไหนเลยจะเหมือนหลิงอวี๋ ที่เอาแจกันดินเผาเคลือบสีพัง ๆ มาถวายให้ไทเฮาพอเป็นพิธี ความผิดที่น่าอับอายนี้ มิอาจปล่อยไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”
หลิงอวี๋ยิ้ม “ท่านลุงอย่าได้พูดเช่นนี้ แจกันดินเผาเคลือบสีนั่นไม่ใช่แจกันดินเผาธรรมดา ในเมื่อมันแตกไปแล้ว หลิงอวี๋ก็จะไม่พูดว่ามันดีแค่ไหนแล้วล่ะ!”
“หลิงอวี๋พิจารณาไม่รอบคอบเอง ไม่ควรเลือกของที่เปราะบางเช่นนี้มาเป็นของกำนัลเลย! แตกไปเสียแล้ว… ขอให้โชคดีด้วยเถิด!”
“ยังดีที่หลิงอวี๋กับเยวี่ยเยวี่ยไม่ได้เตรียมของกำนัลมาถวายไทเฮาเพียงแค่ชิ้นเดียว! เยวี่ยเยวี่ย เอาของกำนัลออกมาสิ!”
ทันทีที่หลิงเยวี่ยได้ยินว่าเรียกชื่อตนเอง ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไป แล้วหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากในแขนเสื้อ
“ของเล็ก ๆ นี่น่ะหรือ? นี่หรือเรียกว่าของกำนัล?”
เส้าเจิ้งซานไม่ยอมปล่อยโอกาสใด ๆ ที่จะทำให้หลิงอวี๋อับอายทั้งนั้น พอเห็นว่ากล่องนั้นดูธรรมดาทั่วไป ก็เอ่ยอย่างดูถูก
หลิงอวี๋รับกล่องเล็ก ๆ ในมือของหลิงเยวี่ยมา แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ด้วยสองมือ ยิ้มพลางเอ่ย “สิ่งนี่มีราคาสูงยิ่งกว่าแจกันดินเผามาก หลิงอวี๋กลัวว่ามันจะเสียหาย จึงให้เยวี่ยเยวี่ยถือเอาไว้ด้วยตัวเอง ไทเฮาจะต้องทรงโปรดเป็นแน่เพคะ!”
พวกเขาไม่อาจใจร้ายโกรธผู้ที่สำนึกผิดได้ ทันทีที่ได้ยินว่า หลิงอวี๋ยังเตรียมของกำนัลล้ำค่าชิ้นอื่นเอาไว้อีก สีหน้าจักรพรรดิอู่อันก็ดีขึ้น
ไทเฮาแย้มยิ้ม ที่แท้เด็กสาวผู้นี้ก็เตรียมของกำนัลไว้สองชิ้นนี่เอง ทำให้นางเกือบเข้าใจผิดว่าหลิงอวี๋ไม่ให้เกียรติตนเสียแล้ว
“นี่คืออะไร?”
เจ้าหน้าที่รับกล่องมา แล้วเปิดดู มันคือแก้วเคลือบสีสองชิ้น ถูกวางไว้บนที่วางที่ดูแปลกตา บนนั้นยังมีไข่มุกห้อยอยู่ด้วย
ไข่มุกนี้มองยากเพราะล้วนเป็นไข่มุกเม็ดเล็กทั้งหมด
แก้วเคลือบสีสองชิ้นนี้ ประกอบกับไข่มุกที่โยนลงบนถนนก็ไม่มีใครต้องการ?
ด้านล่างมีคนลอบยิ้มอย่างดูถูก คิ้วที่เพิ่งจะคลายไปของจักรพรรดิก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...