ขณะที่หลิงอวี๋กำลังชมการแสดงร้องรำทำเพลงอยู่นั้น ไป่ซุ่ยนางกำนัลข้างกายไทเฮาก็เข้ามาและกระซิบข้างหูนาง
“พระชายาอ๋องอี้ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ ไทเฮาต้องการพบพระชายาตามลำพัง!”
หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง เหลือบมองขึ้นมา เห็นไทเฮาที่อยู่บนเวทีไม่ได้อยู่ที่นั่งตรงนั้นแล้ว
นางพยักหน้าเบา ๆ แล้วจูงหลิงเยวี่ยเดินตามไป่ซุ่ยไป
“พระชายาอ๋องอี้ ไทเฮามีพระชนมายุมากแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่จะลืมบุญคุณคน...”
ไป่ซุ่ยกระซิบ “เมื่อครู่ตอนที่พระชายาจะถูกบั่นหัว ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่อยากช่วย… พระชายาคิดดูดี ๆ ก็จะเข้าใจความลำบากพระทัยของไทเฮาเจ้าค่ะ!”
หลิงอวี๋รู้ว่าไป๋ซุ่ยมีเจตนาดี มาเตือนตนเองว่า อย่าพูดเหลวไหลเมื่อพบกับไทเฮา ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ออกมาจากศาลาในสวน ก็จะพบกับศาลาแห่งหนึ่ง
เมื่อครู่ไทเฮาเหน็ดเหนื่อยมา จึงมานั่งพักอยู่ที่นี่
“หลิงอวี๋คารวะไทเฮาเพคะ!”
หลิงอวี๋ทำมือแสดงให้หลิงเยวี่ยอยู่ที่เดิม แล้วตนก็เดินไปที่บันไดและโค้งคำนับ
ไทเฮาเหลียงถอดมงกุฎหงส์ออกแล้ว เผยให้เห็นผมสีขาวของนาง มองแล้วไม่ได้สง่างามเท่าบนเวทีก่อนหน้านี้ แต่เสื้อคลุมหงส์อันหรูหราบนร่างนั้น ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและตำแหน่ง
ในใจของหลิงอวี๋ยังคงมีปมอยู่ คิดว่าแม้ไทเฮาเหลียงจะทดสอบตน ก็ไม่ต้องถึงขั้นบีบบังคับให้ท่านอดีตเสนาบดีคุกเข่าลงแล้วถึงจะยอมพูดแทนนางก็ได้
หลิงอวี๋คารวะแล้วถอยมายืนห่าง
ไทเฮาเหลียงมองนาง แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “ใจเจ้ามีความโกรธข้าอยู่หรือ?”
“หลิงอวี๋มิกล้าเพคะ!” หลิงอวี๋เอ่ยราบเรียบ
ไทเฮาเหลียงยิ้มพลางเอ่ย “มิกล้า! มิใช่ว่าไม่มี! แต่เห็นเจ้าแล้วในใจคงจะมีความโกรธอยู่นะ!”
“เจ้ารู้สึกใช่หรือไม่ว่าข้าเห็นเจ้าใกล้ถึงความตายแล้วไม่ช่วยเหลือ? เจ้าช่วยเหลือข้าไว้ แต่ข้ากลับไม่เอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คน กระทั่งตอนที่เจ้าจะถูกบั่นคอ ข้าก็ไม่ห้ามไว้!”
หลิงอวี๋ไม่พูด นับว่าเป็นการยอมรับอย่างเงียบ ๆ แล้ว
เดิมทีนี่เป็นความคิดของนางจริง ๆ นางไม่สามารถฝืนใจบอกว่าไม่ใช่ได้
“ตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจ้าในครั้งแรก ก็รู้สึกเลยว่าเจ้าไม่ได้เป็นดั่งที่ภายนอกร่ำลือกัน! ข้าเขียนเทียบเชิญให้เจ้าเองกับมือ เพราะอยากจะให้เกียรติเจ้า!”
ไทเฮาเหลียงพูดราบเรียบ “หากเป็นเพราะสองเรื่องนี้ทำให้เจ้าเกิดความไม่สบายใจต่อข้า เช่นนั้นข้าคงพูดได้เพียงว่า… ข้ามองเจ้าผิดไป!”
หลิงอวี๋เม้มริมฝีปาก ความผิดหวังในน้ำเสียงของไทเฮาเหลียงทำให้นางนึกถึงความผิดหวังในคนที่ตนหวังไว้ของท่านอดีตเสนาบดี!
แม้ว่าในใจของนางจะยังไม่ค่อยสบายใจนัก แต่จากเมื่อที่เกือบจะถูกบั่นคอเมื่อครู่นี้ก็ทำให้มองออกถึงความแข็งแกร่งของอำนาจองค์จักรพรรดิ
แม้ว่านางจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของไทเฮาเหลียง แต่ก็ต้องยอมรับว่านางทำเพื่อตนเอง
“ที่ไทเฮามิได้เอ่ยตรัสถึงเรื่องที่หม่อมฉันช่วยเหลือไทเฮาไว้ ก็เพื่อตัวของหลิงอวี๋เอง! หลิงอวี๋รู้เพคะ!”
หลิงอวี๋เอ่ยอย่างจนใจ “ไทเฮาทำให้หลิงอวี๋เห็นชัด ๆ ว่า ใครคือศัตรูใครคือมิตร! ใครที่สามารถยื่นมือมาช่วยเหลือได้เมื่อยามหลิงอวี๋ตกอยู่ในอันตราย!”
“หลิงอวี๋จะไม่มีทางเอาแต่ใจโกรธท่านปู่อีกแล้ว! หลังจากนี้ หลิงอวี๋จะไปขอโทษท่านปู่เพคะ!”
ไทเฮาเหลียงเห็นว่าเด็กคนนี้สามารถสอนได้ ใบหน้าจึงมีรอยยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยนลง
“ในเมืองหลวงนี้มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน(1) เจ้าช่วยเหลือข้าไว้ วิธีการรักษาข้าก็มากพอที่จะทำให้เหล่าหมอหลวงในโรงหมอต้องอับอายเลยทีเดียว!”
“พวกหมอหลวงผู้อวดรู้เหล่านี้สามารถสะท้อนได้ถึงเรื่องทักษะการแพทย์ของตนที่ไม่ดีนัก ยังต้องมีการช่วยเหลือ กลัวก็กลัวว่าที่พวกเขาร่ำเรียนมานั้นจะไม่ใช่ทักษะการแพทย์ แต่การวิธีการว่าจะจัดการกับคนเยี่ยงไรมากกว่า!”
หลิงอวี๋เข้าใจในสิ่งที่ไทเฮาต้องการจะสื่อ ในใจถึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น
“หลิงอวี๋เข้าใจเพคะ ไทเฮาไม่อยากให้หลิงอวี๋สร้างศัตรูมากเกินไป!”
รากฐานของนางยังตื้นเขินนัก เวลานี้ไม่ควรอวดความสามารถมากเกินไปจริง ๆ !
ความโปรดปรานอย่างเปิดเผยของไทเฮา รังแต่จะนำพาศัตรูมาหานางมากขึ้นเท่านั้น!
ไทเฮาเหลียงพยักหน้า ทอดถอนใจพลางเอ่ย “ข้ากับท่านปู่ของเจ้าต่างก็ชรากันแล้ว สามารถปกป้องเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ตลอดชีวิต!”
“เรื่องบั่นคอในวันนี้ คงจะทำให้เจ้าได้เห็นชัดแล้ว แล้วก็คงจะคิดได้ชัดเจนแล้วว่าต่อไปจะเดินไปในเส้นทางเช่นไร!”
“การมีน้ำใจเป็นสิ่งที่ดี แต่การเอาแต่ใจและหยิ่งยโสถือเป็นข้อห้ามใหญ่หลวง!"
ไทเฮาเหลียงมองไปทางหลิงเยวี่ยที่ยืนอยู่ไกล ๆ พลางกล่าวตำหนิ “อย่างเช่นเรื่องของเยวี่ยเยวี่ย หากเจ้าไม่ปล่อยให้ข่าวลือมันแพร่สะพัดออกไปตลอดที่ผ่านมา แล้วเอาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ตนเองนานแล้ว วันนี้เยวี่ยเยวี่ยก็ไม่ต้องวิตกกังวลไปกับเจ้าด้วย!”
“เมื่อสตรีออกเรือน ก็ต้องให้ความสำคัญกับสามีมาก! แต่เจ้าไม่สามารถเอาชนะใจได้กระทั่งสามีของตน เช่นนั้นหากเรื่องอย่างวันนี้เกิดขึ้นอีก ใครจะพูดให้เจ้ากันเล่า?”
พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน หมายถึง ผู้ที่หลบซ่อนไม่ยอมเผยความสามารถของตนเองออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...