หลิงอวี๋สิ้นคำกล่าว เหตุใดโรงหุยชุนเผด็จการขนาดนี้!
นางเอ่ยถาม “หากเจ้าเผาโรงหุยชุนแล้วพี่เจ้าจะเป็นอย่างไรเล่า?”
เลี่ยวซวนก้มหน้างุดหมองหม่น
หยาดน้ำตาหมอเลี่ยวร่วงโรยพลางกล่าวคำสิ้นหวัง
“แขนไม่อาจบิดต้นขาได้ฉันใดผู้อ่อนแอไม่อาจต่อกรผู้เรืองอำนาจได้ฉันนั้น… ข้าเตือนเจ้าเด็กนี้แล้ว แต่ยังรั้นไม่ยอมประนีประนอม!”
“อา เซียนเอ๋อร์ ยอมรับชะตากรรมเสีย! มอบโฉนดที่ดินเถิด! พาพี่ใหญ่เจ้ากลับมา ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ครอบครัวเราจะได้ออกไปจากเมืองหลวง!”
เลี่ยวเซียนบ่ายศีรษะเช็ดหยาดน้ำตาที่หางตาพลางกล่าวประชดประชัน
“แต่ข้าก็ไม่อยากให้โรงหุยชุนในราคาถูก ๆ ข้าไม่เชื่อว่าบนใต้หล้าแห่งนี้จะไม่มีความยุติธรรม! หากบีบคั้นข้า ข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์(1)ที่พระราชวัง!”
“เจ้าเด็กนี่ ไยไม่เชื่อฟังบ้าง!”
หมอเลี่ยวตีไหล่เขาหนึ่งฝ่ามือพลางกล่าวตำหนิ
“พี่ใหญ่เจ้าโดนขังคุกไปแล้ว หรือว่าเจ้าก็อยากเข้าคุกเหมือนกันเล่า?”
“เช่นนั้นเจ้าไม่สู้เอามีดมาแทงข้าให้ตายเลยเล่า! พ่อไม่อยากเห็นพวกเจ้าต้องมาตายก่อนข้านะ!”
หมอเลี่ยวนึกถึงเรื่องน่าเศร้า หยาดน้ำตาก็พลันไหลพราก
เลี่ยวเซียนทั้งปวดใจและร้อนรน กระทืบเท้ากล่าวคำ “พอได้แล้ว ท่านพ่ออย่าร้องเลย! ข้าจะไปหาโฉนดไปแลกให้พี่ใหญ่กลับมาขอรับ!”
“ช้าก่อน!” หลิงอวี๋รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ นางทนเห็นน้ำตาผู้ชายไม่ได้ที่สุด
ลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่าย ๆ!
หากมิใช่เพราะถูกบีบจนอับจนหนทาง ชายร่างใหญ่สองคนนี้มีหรือจะร่ำไห้ต่อหน้าคนแปลกอย่างตนได้!
“ข้าจะซื้อโรงเหยียนหลิง! ข้าให้เจ้าหกหมื่น เจ้านำตั๋วเงินไปแลกให้พี่ใหญ่เจ้าออกมาเถอะ!”
หลิงอวี๋ล้วงถุงเงินที่หลิงซินเย็บให้ตนออกมา ก่อนจะนับตั๋วเงินหกแผ่นพลางยื่นให้เลี่ยวเซียน
เลี่ยวเซียนมองตาค้างฉับพลัน รีบเอ่ยว่า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอกหรือ? ถ้าเจ้าซื้อโรงเหยียนหลิง โรงหุยชุนจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! พวกเขาจะสรรหาวิธีมาให้เจ้าลำบากใจนะ!”
“ไม่เป็นไร! ข้าไม่กลัวพวกเขาเลยกล้าซื้อน่ะสิ!”
หลิงอวี๋นึกถึงวันงานพระราชสมภพของไทเฮาที่ท่านลุงเส้าเจิ้งซานเคยเหยียบย่ำตนตามชายาผิงหยางก็พลันยิ้มหยันกล่าวคำ
“ข้ายังกลัวว่าพวกเขาจะไม่มาก่อกวน ถ้ามาก็ประจวบเหมาะเลยจะได้มีคนออกค่าบูรณะร้านนี้!”
หมอเลี่ยวลอบมองหลิงอวี๋อย่างสนเท่ห์ ก่อนจะมองเลี่ยวเซียน
เลี่ยวเซียนขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยถาม “ฮูหยิน เจ้าจะซื้อจริง ๆ แน่หรือ?”
“แน่สิ! ข้าวางแผนจะเปิดร้านโอสถอีกแห่งหนึ่งด้วย! หมอเลี่ยว หากพวกเจ้าไม่มีที่จะไป ก็อยู่โรงเหยียนหลิงช่วยข้าเถิด! ข้าจะไม่เปลี่ยนชื่อร้าน ใช้ชื่อโรงเหยียนหลิงนี่ละ!”
ท่านปู่ของหลิงอวี๋เมื่อก่อนเคยเป็นหมอในคลินิกแพทย์แผนจีนก็ชื่อโรงเหยียนหลิงเช่นกัน หลิงอวี๋รู้สึกว่านี่คือโรคชะตาของตนกับโรงเหยียนหลิง
“ฮูหยิน เจ้าไม่กลัวโรงหุยชุนมาสร้างความลำบาทจริงหรือ?”
เลี่ยวเซียนกล่าวเตือน “ข้าพูดไปแล้ว คนที่สนับสนุนอยู่ข้างหลังพวกเขาคือหมอหลวงจางกับท่านลุงเชียวนะ!”
“น้องสาวของท่านลุงเส้าเจิ้งซาน พระสนมเส้าเป็นสนมคนโปรดของจักรพรรดิอู่อันองค์ปัจจุบัน! เจ้ายั่วยุพวกเขามิได้หรอก!”
หลิงอวี๋ยิ้มอ่อนจางพลางกล่าวอย่างมั่นใจ
“ข้าไม่กลัว! พวกเจ้าเชื่อข้าเถอะ! ข้ารู้ตัวว่ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่! โรงหุยชุนไม่กล้ายั่วยุข้าหรอก!”
ครั้นเลี่ยวเซียนเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของหลิงอวี๋ก็ไม่ได้เตือนอีก
เขาเอื้อมมือไปหยิบตั๋วเงินสามแผ่นพลางกล่าวคำ “เป็นมนุษย์ควรรักษาสัจจะ ในเมื่อข้าพูดจะขายให้เจ้าสามหมื่น ก็จะไม่ขอเจ้าเพิ่ม!”
“ฮูหยิน ข้าจะไปหาโฉนดให้เจ้า รอพี่ข้าออกมาแล้วจะให้เขาไปเปลี่ยนโฉนดที่หน่วยราชการเป็นเพื่อนเจ้า!”
เลี่ยวเซียนวิ่งรุดไป ไม่นานนักก็ถือโฉนดกลับมา
หลิงอวี๋มองตั๋วเงินสามหมื่นที่เหลือบนมือพลางกล่าวคำ “หมอเลี่ยว เจ้าขายร้านให้ข้าราคาต่ำเช่นนี้ ท่านเสียเปรียบครั้งใหญ่แล้ว!”
“ข้ามีข้อเสนอ ร้านแห่งนี้เป็นมรดกตกทอดนับร้อยปีของตระกูลท่าน ขอเดาว่าท่านก็มิได้ยินดีเห็นมันตกสู่มือคนนอกหรอก”
“สามหมื่นที่เหลือถือเป็นหุ้นส่วนโรงเหยียนหลิงของท่านบริหารร่วมกับข้า หลังจากนั้นรายได้ของโรงเหยียนหลิงเราก็แบ่งเป็นห้าสิบห้าสิบ! เป็นเช่นไร?”
หมอเลี่ยวโบกมืออย่างตระหนก “มิได้ ฮูหยินแค่เจ้ายอมซื้อร้านโอสถแห่งนี้ก็เป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว ข้าจะยังใช้ประโยชน์จากเจ้าอีกได้เยี่ยงไร! มิได้… มิได้!”
หลิงอวี๋ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่เช่นนั้น หุ้นสามส่วนคือของท่าน ที่เหลืออีกสองส่วนเราจะนำไปเข้ากองทุนสาธารณะเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ไม่มีเงินรักษาแล้วกัน!”
“หมอเลี่ยว ข้าไม่มีเวลาตรวจมากนัก ยังต้องการตัวท่านเป็นหมออยู่! ท่านอย่าปฏิเสธอีกเลย มิฉะนั้นข้าจะถือว่าข้อเสนอนี้ยังไม่เพียงพอ!”
มือของหมอเลี่ยวสั่นเทาอย่างตื่นเต้น ดวงตาทอประกาย
“ฮูหยิน ข้า… ข้าเป็นหมออยู่โรงเหยียนหลิงต่อได้จริงหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นแล ข้าเป็นแค่สตรีผู้หนึ่งไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ผู้ใดจะมาหารักษากับข้าเล่า!”
หลิงอวี๋คลี่ยิ้ม ก่อนจะเอาตั๋วเงินสามหมื่นยัดให้หมอเลี่ยว
“เงินพวกนี้ท่านรับไปก่อน เอาไปซื้อเครื่องยาสมุนไพรที่จำเป็นเพิ่มให้เพียงพอ! ช่วงนี้โรงเหยียนหลิงจะปิดชั่วคราว รอเราบูรณะใหม่เสร็จค่อยเริ่มประกอบการ!”
นางลุกขึ้นชี้ไปยังหลี่ต้าหนิวที่ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ข้างนอกมาตลอดพลางกล่าวคำ
“วันนี้ข้าจะแย่งผู้ป่วยของท่านและรักษามารดาของเขาก่อน!”
(1) ตีกลองร้องทุกข์ (敲登闻鼓) ในยุคศักดินาจะมีกลองถูกแขวนไว้ให้ตีสำหรับคนมีเรื่องร้องทุกข์เร่งด่วนทางด้านกฎหมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...