หลิงอวี๋มองไปทางชิวเหวินซวงที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางรับใช้และแม่นมในเรือนต่างเชื่อฟังนาง เฮยจื่อหายตัวไปครั้งนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับชิวเหวินซวงด้วย
“เซียวหลินเทียน ข้าบอกว่าข้าไม่รู้ว่าเฮยจื่ออยู่ที่ใด เจ้าเชื่อหรือไม่?” หลิงอวี๋เอ่ยถาม
“พระชายา พระชายาบอกที่อยู่ของเฮยจื่อของพวกเรามาเถิด! เขายังเด็ก ทำผิดพลั้งไปเราก็ค่อย ๆ สอนเขาก็ได้! พระชายาให้โอกาสเขาสักครั้งเถิด!”
ชิวเหวินซวงเอ่ยเตือน ‘ด้วยความหวังดี’
หลิงอวี๋รำคาญแม่นางดอกบัวขาวที่ช่างยุแยงให้คนแตกคอกันนี่เหลือเกิน เสแสร้งทำเป็นคนดีนัก!
“เซียวหลินเทียน ข้าไม่ได้เอาตัวเฮยจื่อไป ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ใด! ข้าคงปล่อยตัวเขามิได้หรอก!”
หลิงอวี๋คร้านจะสนใจชิวเหวินซวง พลางเอ่ยไปตรง ๆ “หากเจ้าเชื่อก็เชื่อ หากไม่เชื่อก็ช่าง! ตีข้าให้ตาย ข้าก็พูดเช่นเดิม!”
เซียวหลินเทียนจ้องมองหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เองก็จ้องเขาตอบอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
หลิงอวี๋ยิ้มเย็นชาพลางเอ่ย “เจ้าไปสืบหาดูก็ได้ หากยืนยันว่าข้าเป็นคนลักพาตัวเฮยจื่อไปจริง ๆ ข้าจะยอมทำตามที่เจ้าต้องการ!”
เซียวหลินเทียนกับนางต่างไม่มีใครยอมใครอยู่เป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋ยังคงมีท่าทางแข็งขืนอยู่ เขาก็หน้านิ่งไป
“เจ้าไม่บอกใช่หรือไม่? ได้ ข้าไปหาเอง!”
“หลิงอวี๋ ถ้าพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นคนลักพาตัวเฮยจื่อไป ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เยี่ยงครั้งก่อนเป็นแน่!”
“พวกเราไป!”
เซียวหลินเทียนออกคำสั่ง เพียงชั่วครู่ในเรือนนั้นก็เหลือเพียงคนของเรือนบุหงาสี่คน
“เยวี่ยเยวี่ย เจ้าไม่ได้ถูกไอ้กีบเท้าหมูนั่นรังแกเอาใช่หรือไม่?”
หลิงอวี๋เห็นว่าพวกเขาไปกันแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปหาหลิงเยวี่ยอย่างเป็นห่วง
หลิงเยวี่ยส่ายหน้า “ท่านแม่ ไอ้กีบเท้าหมูนั่นไม่ได้รังแกข้าขอรับ!”
แม่นมลี่ก็เอ่ยขึ้นมา “ครั้งนี้ท่าทีของท่านอ๋องดีขึ้นมากเจ้าค่ะ มาถึงก็เพียงแต่ซักถามว่าเมื่อเช้าพวกท่านไปทำอันใดที่เรือนเฮยจื่อ! พูดกับเยวี่ยเยวี่ยก็พูดอย่างเกรงใจเจ้าค่ะ!”
หลิงอวี๋ฟังแล้วถึงโล่งอก นางเอ่ยถามอย่างสงสัย “เหตุใดเฮยจื่อจึงหายตัวไป?”
แม่นมลี่ก็เชื่อว่าหลิงอวี๋ไม่มีทางลักพาตัวเฮยจื่อไป จึงเอ่ย
“บ่าวก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ได้ยินว่าไม่เห็นเฮยจื่ออกไปจากประตูนะเจ้าคะ! ท่านอ๋องให้องครักษ์ค้นตำหนักอ๋องอี้สองรอบแล้วก็ไม่พบร่องรอยของเฮยจื่อเลยเจ้าค่ะ!”
หลิงอวี๋มองไปทางกำแพงที่ล้อมรอบเรือนบุหงา แล้วยิ้มเยาะพลางเอ่ย
“ไม่ได้เดินไปเอง ก็มีคนพาเขาออกไป!”
“กำแพงรอบตำหนักอ๋องอี้ไม่ได้สูง คนที่มีวรยุทธสามารถพาเขาออกไปได้สบาย ๆ!”
แม่นมลี่ก็ตั้งสติพลางเอ่ยอย่างแปลกใจ “คุณหนู คุณหนูสงสัยว่าจะมีคนพาตัวเขาออกไป เพราะอยากจะใช้เรื่องนี้มาใส่ร้ายคุณหนูหรือเจ้าคะ?”
“หรือไม่ใช่? ข้ามีประวัติที่ไม่ดีกับเขา เยวี่ยเยวี่ยก็เพิ่งจะมีเรื่องขัดแย้งกับเฮยจื่อพอดี คนที่จะพาตัวเฮยจื่อไปในเวลานี้ หากไม่สงสัยข้าแล้วจะไปสงสัยใครกันเล่า!”
หลิงอวี๋ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “ข้าว่าเรื่องนี้มีโอกาสสูงมากที่พวกพี่น้องชิวเหวินซวงนั่นจะเป็นคนทำ! ในตำหนักนี้ก็มีพวกเขาที่ไม่ชอบหน้าข้าใช่หรือไม่เล่า!”
“คุณหนู แต่บ่าวได้ยินว่าตั้งแต่ที่ชิวเฮ่าดวงตาหายดี ก็ถูกท่านอ๋องส่งตัวไปทำงานที่นอกเมืองนะเจ้าคะ” แม่นมลี่เอ่ยเตือน
หลิงอวี๋ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอชิวเฮ่ามาเป็นเวลานานแล้ว
นางจ้องมองไปที่ประตูใหญ่อย่างโกรธเกรี้ยว พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แม้ว่าชิวเฮ่าจะไม่อยู่ ชิวเหวินซวงก็น่าจะมีวิธีลักพาตัวคนออกไป!”
“พวกนางรับใช้และแม่นมในตำหนักล้วนเชื่อฟังนาง หากคิดจะเอาตัวเด็กคนหนึ่งออกไปมันจะยากอะไรเล่า!”
“หลบอยู่ในรถม้าหรือไม่ก็ตะกร้าผักอะไรสักอย่างออกไป จะมีใครไปสงสัยนางแล้วค้นดูรึ! ”
หลิงเยวี่ยฟังอยู่อีกด้านอย่างสนใจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมา
“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าสวนด้านหลังคอกม้ามีช่องสุนัขอยู่ มีครั้งหนึ่งพี่เฮยจื่อแอบมุดออกไปเที่ยวเล่นแล้วข้าเห็นเข้า! วันนี้เขาจะแอบหนีออกไปเที่ยวอีกหรือไม่ขอรับ?”
“หา ในตำหนักนี้มีช่องสุนัขด้วยรึ?”
หลิงอวี๋ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “ดูสิ เซียวหลินเทียนไอ้กีบเท้าหมูนั่นหูเบาเสียจริง ชิวเหวินซวงพูดเยี่ยงไรก็เชื่อไปเสียเยี่ยงนั้น!”
“ยังจะมาใส่ร้ายข้าว่าลักพาตัวเฮยจื่อไปอีก? เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเด็กที่ตนเองเลี้ยงมีพฤติกรรมเยี่ยงไร ถึงมาใส่ร้ายคนอื่นเยี่ยงนี้!”
“เสียแรงที่ข้าคิดจะอยู่ร่วมกันกับเขาอย่างสันติ แถมยังหายาให้เขา! คนเยี่ยงนี้ ไม่คุ้มค่าที่จะทำดีด้วยเสียจริง!”
“เห้อ ตำหนักอ๋องอี้นี่เหตุใดจึงมีเรื่องเยอะเยี่ยงนี้นะ!”
นับตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่หลิงอวี๋พูดเรื่องจะไปจากที่นี่ แม่นมลี่ก็ไม่ได้มองว่าเซียวหลินเทียนเป็นคนของตนอีกเลย
กอปรกับที่เห็นว่าตอนนี้หลิงอวี๋สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเองแล้ว ต่อไปพวกเขาแม่ลูกก็ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตแล้ว ก็ยิ่งหวังว่าหลิงอวี๋จะไปจากตำหนักอ๋องอี้แห่งนี้ให้เร็วที่สุด
“แม่นม ไม่พูดถึงเขาแล้ว! ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลย พวกเจ้ากินหรือยัง?”
หลิงอวี๋ไม่เอาเรื่องของเฮยจื่อมาใส่ใจ คิดว่าเด็กคงห่วงเล่น เดี๋ยวเล่นเหนื่อยแล้วก็คงจะกลับมาเอง
“ยังเจ้าค่ะ! ท่านอ๋องทรงเสด็จมาโวยวายถึงที่นี่ หลิงซินไม่กล้าไปทำอาหารเลยเจ้าค่ะ!”
หลิงซินยิ้มอย่างซื่อ ๆ พลางเอ่ย “ท่านอ๋องพระพักตร์ดำคร่ำเคร่งนั่งอยู่ตรงนั้น บ่าวกังวลว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ มีหรือจะกล้าไปทำอาหาร! คุณหนู ประเดี๋ยวบ่าวไปทำก่อนนะเจ้าคะ!”
“ตอนเช้ายังมีอาหารเหลืออยู่ใช่หรือไม่ ข้าจะไปทำข้าวผัดไข่ให้พวกเจ้าเอง!”
หลิงอวี๋ถกแขนเสื้อ แล้วไปเข้าครัวด้วยตัวเอง แล้วทำข้าวผัดไข่ในแบบของตัวเอง
จ้าวซวนซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ฟังอยู่ครู่หนึ่งไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ออกไปจากเรือนบุหงาอย่างเงียบ ๆ
จ้าวซวนไปที่สวนไชด้านหลังคอกม้า ผลก็คือเจอช่องสุนัขที่หลิงเยวี่ยพูดถึงจริง ๆ หญ้าที่แห้งปกคลุมอยู่บนนั้นถูกดึงไปอีกด้านหนึ่ง
ช่องสุนัขนั้นมีขนาดเพียงพอให้เฮยจื่อมุดออกไป
จ้าวซวนมองผ่านกำแพงล้อมรอบนั้นไป เห็นว่าด้านนอกช่องสุนัขคือคฤหาสน์ที่อยู่ติดกัน คฤหาสน์ทั้งสองหลังอยู่ห่างกันหนึ่งเมตร ปกคลุมไปด้วยวัชพืชสูงเท่าตัวคน
เขาตรวจสอบดู พบว่าวัชพืชถูกเหยียบย่ำไปจำนวนมาก และเป็นรอยการเดินตุปัดตุเป๋ผ่านไปตรงข้างหน้า
จ้าวซวนตรวจสอบดูหนึ่งรอบ แล้วถึงได้กลับไปหาเซียวหลินเทียนที่เรือนริมวารี
เซียวหลินเทียนนั่งอยู่ในห้องตำรา
จ้าวซวนบอกเรื่องบทสนทนาระหว่างหลิงอวี๋กับแม่นมลี่ทั้งหมดที่คุยกันหลังจากที่เซียวหลินเทียนเดินออกมาให้ฟังอย่างละเอียด
ตอนเซียวหลินเทียนได้ยินว่าหลิงอวี๋ด่าตนเองว่าไอ้กีบเท้าหมูก็ดูงุนงง นี่มันคำด่าคนอะไรกัน เหตุใดเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
จ้าวซวนก็บอกเรื่องช่องสุนัขและสิ่งที่ตนเองพบเจอด้วย
กระทั่งจ้าวซวนพูดจบ เซียวหลินเทียนก็ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“แม้ว่าเฮยจื่อจะแอบออกไปเที่ยวเล่น แต่นี่มันกี่ชั่วยามเข้าไปแล้ว ก็น่าจะกลับบ้านมาตั้งนานแล้วสิ!”
“ถนนหนทางแถวนี้ลู่หนานกับหลู่ชิ่งก็ไปหามาหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบใครเลย! หากว่าหลิงอวี๋ไม่ได้ลักพาตัวเขาไป เช่นนั้นเฮยจื่อไปที่ใดกัน?”
จ้าวซวนส่านหน้า “กระหม่อมเองก็มองไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ! บทสนทนาของพระชายากับแม่นมลี่ดูปกติมาก ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่รู้จริง ๆ ว่าเฮยจื่ออยู่ที่ใด!”
เซียวหลินเทียนถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยขึ้นมา
“มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งก็คือหลิงอวี๋ไม่ได้ลักพาเฮยจื่อไปจริง ๆ !”
“ส่วนอีกอย่างก็คือมีคนส่งเสริมให้เฮยจื่อแอบออกไป อย่างที่หลิงอวี๋บอกว่าจะใช้เรื่องนี้มาใส่ร้ายนาง!”
จ้าวซวนเอ่ยถามอย่างสงสัย “เหตุใดถึงต้องใส่ร้ายพระชายาพ่ะย่ะค่ะ?”
เซียวหลินเทียนมองเครื่องยาสมุนไพรที่อยู่บนโต๊ะ พลางยิ้มเยาะ “บางทีอาจจะมีคนอยากให้ข้ากับหลิงอวี๋เกลียดชังกันก็ได้!”
จ้าวซวนมองตามสายตาของเซียวหลินเทียนไปที่เครื่องยาสมุนไพร แล้วใจก็บีบแน่น
เขาเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านอ๋องสงสัยว่า มีคนไม่อยากให้ท่านอ๋องหายดีหรือพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเฮยจื่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!?”
เมื่อจ้าวซวนพูดเช่นนี้ออกไป หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นแรง
เซียวหลินเทียนมองเขา สายตาจริงจังแต่กลับเอ่ยอย่างใจเย็น
“เฮยจื่อคงจะไม่เป็นอะไรหรอก! หากคนที่ลักพาตัวเฮยจื่อไปคิดจะฆ่าเขา เช่นนั้นเราก็คงได้เห็นศพไปนานแล้ว!”
“หากยังไม่มีการยืนยัน ทุกอย่างก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน! แต่แม้ว่าจะเป็นข้อสันนิษฐาน ก็ต้องป้องกันการถูกปองร้าย!”
เซียวหลินเทียนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “จับตามองหลิงอวี๋ต่อไป!”
“ทางด้านเฮยจื่อ ให้ศฤคาลเงินส่งคนไปหาต่อ! ค้นหาตามถนนหรือตรอกซอกซอยใด ๆ ก็ตามที่เป็นสถานที่ที่สามารถซ่อนตัวได้!”
“จริงสิ ทางด้านชิวเหวินซวง ก็ให้คนจับตาดูไว้ด้วย!”
ตอนที่เซียวหลินเทียนเอ่ยประโยคนี้ออกมาดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
จ้าวซวนมองเขา แล้วก็ลังเลตามอยู่สักพักแล้วถึงได้กระซิบถาม “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องสงสัยชิวเหวินซวงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างมีนัยแฝง “เมื่อวานเฉี่ยวชุนนางรับใช้ข้างกายของเฮยจื่อกล้าที่จะใส่ร้ายหลิงเยวี่ย… คำพูดของหลิงอวี๋นั้นไม่ผิดเลย นางรับใช้และแม่นมในตำหนักล้วนเชื่อฟังชิวเหวินซวง!”
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะสงสัยนาง!”
“แต่ว่า สมมติถ้าหลิงอวี๋ไม่ได้โกหก เช่นนั้นเหตุใดนางรับใช้และแม่นมในเรือนของเฮยจื่อถึงได้บอกว่าหลิงอวี๋เป็นคนลักพาตัวเฮยจื่อไปอย่างแน่นอนเล่า?”
เซียวหลินเทียนยิ้มเย็นชา “หากตัดเรื่องสมมติออกไปทั้งหมดแล้ว ที่เหลือนั้นแลคือเรื่องจริง!”
“จ้าวซวน ข้าไม่มีทางให้เกิดความผิดพลาดซ้ำอีก! ข้าจะต้องตรวจสอบทั้งชิวเหวินซวงและหลิงอวี๋ และจะต้องตรวจสอบให้เท่าเทียมกัน!”
“นางรับใช้และแม่นมในเรือนของเฮยจื่อนั่น ให้ส่งคนไปสอบสวนดูอีกที พยายามตามหาเฮยจื่อให้เจอโดยเร็วที่สุด”
จ้าวซวนพยักหน้าเข้าใจ “กระหม่อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...