เสิ่นจวนเห็นเจิงจื่ออวี้เสียหน้าก็พลันช่วยพูดทันควัน “อย่าว่าแต่เรื่องดูแคลนอันใดเจ้า ตัวข้าสามารถดูแคลนเจ้าได้ประเดี๋ยวนี้เลย!”
“หากเจ้าไม่มีเงินกินข้าวจริง ๆ มาเป็นนางรับใช้ให้ข้าสักวัน แล้วข้าจะช่วยค่าอาหารของวันนี้แก่เจ้าเป็นเช่นไร?”
สตรีที่กำลังจ้องหลิงอวี๋อย่างอาฆาตคือฉินรั่วซือ น้องสาวของฉินซาน
นางทนไม่ไหวเลยกล่าวเสียงเย็นชา
“เสิ่นจวน นางเลือกภัตตาคารจี๋เสียงแล้วกลับยังต้องการให้เจ้าออกเงินช่วยอีกรึ!”
“นางยังติดหนี้เกิ่งเอ้อเหยอยู่เลย ถ้านางจะเข้าไปยืมอีกก็ไม่เห็นจะเป็นไร! ลำบากขนาดนี้แล้วยังจะกลัวอะไรอีก!”
คุณหนูคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก แม้การพรรณนานี้จะหยาบ แต่เหมาะกับหลิงอวี๋ยิ่ง!
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจหลิงอวี๋กลับเต้นผิดจังหวะ คาดมิถึงว่านี้คือภัตตาคารที่เกิ่งเอ้อเหยเปิดกิจการ?
นางกำลังใคร่ครวญว่า จะไถ่ถอนมรดกตกทอดวงศ์ตระกูลของเซียวหลินเทียนกลับมาอย่างไรดีและคืนเงินกู้ดอกเบี้ยสูงที่ตัวเองติดค้าง!
นี่คือการหลับในแล้ววิ่งชนหมอนจริงๆ(1)ชัด ๆ!
ในบรรดาร้านยาสมุนไพรพวกนั้นไม่มีความรู้สรรพคุณยาเสียเลย แต่เกิ่งเอ้อเหยเป็นคนในยุทธภพเช่นนี้ต้องรู้เป็นแน่!
“แม่นม เราไปร้านนี้ล่ะ!”
หลิงอวี๋ไม่สนใจเสิ่นจวนและคนอื่น ๆ อีก ก่อนจะจูงหลิงเยวี่ยและลากแม่นมลี่เดินเข้าไป
ฝั่งตรงข้ามบนถนน มีคุณชายฐานะมั่งคั่งผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นกับเด็กรับใช้สองคน และเขาได้เห็นฉากเหตุการณ์นี้ทั้งหมด
เขากำลังสวมอาภรณ์ชั้นในสีขาวเงิน ทับด้วยอาภรณ์ชั้นนอกเนื้อโปร่งสีเงินปักลายต้นไผ่ขาว และผูกผ้าคาดเอวสีขาวขอบเงิน
มีเค้าหน้ารูปงาม ผิวพรรณขาวผ่อง ขนตายาวและคู่นัยน์ตานิลพร่างพราย ครั้นคลี่ยิ้มดุจเดือนเสี้ยว
คุณชายฐานะมั่งคั่งกำลังมองหลิงอวี๋เดินเข้ามา ในมือสะบัดพัดคลี่กล่าวยิ้มแย้มว่า
“นั่นมิใช่พระชายาอ๋องอี้หรือ? เหตุใดมีเรื่องน่าขบขันทุกคราที่พบนางเสมอเลย!”
คราก่อนก็พบหลิงอวี๋สตรีปากคอเราะรายกำลังข่วนหน้าเส้าเจิ้งซานอยู่บ่อนพนันเช่นกัน จนเกือบทำเขาหัวเราะพรวด!
ไม่คิดเลยว่า หลังเดินทางไกลกลับมาเที่ยวหนึ่งก็พบหลิงอวี๋ซ้ำอีกหน ทั้งยังกล่าววาจาน่าขันเช่นนี้!
มิผิด ผู้นี้คือสหายสนิทในวัยเยาว์ของเซียวหลินเทียน องค์รัชทายาทอันเจ๋อแห่งแคว้นเจิ้นหนาน!
“เพียงอดทน… มิต้องไปสนใจ รออีกสักสองสามปีดูว่าเขาจะเป็นเยี่ยงไร! ฮ่าฮ่า น่าขันยิ่ง!”
ยิ่งอันเจ๋อวิจารณ์คำพูดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีหลักปรัชญาอยู่
เดิมทีเขาคิดไปเยี่ยมเซียวหลินเทียน ทว่าเมื่อเห็นเสิ่นจวนกับกลุ่มพวกนางกำลังตามหลิงอวี๋เข้าไปในภัตตาคารจี๋เสียง พลันก็เปลี่ยนใจทันควัน ก่อนจะเอ่ยกับเด็กรับใช้ตน
“เจ้าเอาของกํานัลไปถวายตำหนักอ๋องอี้ แล้วทูลว่าตัวข้าเรียนเชิญท่านอ๋องเสวยพระกระยาหาร ไปเชิญพระองค์มาเสีย!”
เด็กรับใช้เหลือบมองเจ้านายตนอย่างไร้ทางเลี่ยงเช่นกันและรู้ดีว่าพระองค์โปรดการชมความบันเทิงแบบผิด ๆ ยิ่ง เขาขานตอบรับพร้อมถือของกำนัลเดินจากไป
อันเจ๋อรู้จักเสิ่นจวนและเจิงจื่ออวี้แถมรู้ด้วยว่า พวกนางกับหลิงอวี๋ไม่ลงรอยกัน พวกนางเข้าไปตามหลิงอวี๋ ซึ่งต้องเกิดความชุลมุนขึ้นอีกเป็นแน่
ด้วยสีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ของเซียวหลินเทียนมักมิโปรดการชมเหตุการณ์บันเทิงเป็นเนืองนิตย์ งั้นวันนี้ก็ให้เขาได้ชมความบันเทิงสักครั้งเถอะ!
เมื่อรอให้อันเจ๋อขึ้นไปก็พบว่า มีแค่ชั้นสองที่ยังเหลือที่นั่งสามโต๊ะ
เมื่อก่อนเคยนั่งแค่ห้องส่วนตัวเท่านั้น ทำให้เกิ่งเสี่ยวหาวได้เหลือห้องหนึ่งให้เขาโดยเฉพาะที่ภัตตาคารจี๋เสียง
แต่เมื่อเขาเห็นหลิงอวี๋และเสิ่นจวนยึดนั่งคนละโต๊ะไม่ได้ไปห้องส่วนตัว ก็เลยเลือกโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ หลิงอวี๋
หลิงอวี๋กำลังสั่งอาหาร อันเจ๋อนึกถึงคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่เลยบอกเสี่ยวเอ้อร์ว่าตนสั่งตามหลิงอวี๋หนึ่งชุด…
เขาคิดคำนวณเงินไปเงียบ ๆ แล้วมันก็นับจนเกือบถึงสามร้อยตำลึง!
อาหารหลายอย่างนี้ล้วนมิใช่จานโปรดของเซียวหลินเทียน อันเจ๋อจึงสั่งเพิ่มอีกสองสามอย่าง
หลิงอวี๋สั่งอาหารไม่ดูราคา แต่ละอย่างที่สั่งล้วนอ้างอิงมาจากรสนิยมของแม่นมลี่ หลิงเยวี่ยและหลิงซิน
แม่นมลี่ไม่กล้าแม้แต่จะดูราคา ในใจนึกเสียใจภายหลังตลอด เมื่อครู่ก็ไม่น่าพาพระชายามาเดินถนนสายนี้เลย
แบบนี้ก็จะไม่บังเอิญพบเสิ่นจวน ยิ่งจะได้ไม่ต้องมากินข้าวที่ภัตตาคารจี๋เสียงด้วย
หลังรอกินหมดนี่จะเอาสิ่งใดมาจ่ายกัน!
ขณะแม่นมลี่กำลังกลัดกลุ้ม เสี่ยวเอ้อร์(2)ของร้านก็กำลังพาแขกเข้ามาสองสามคนแล้ว
เมื่อเสิ่นจวนเห็นก็เรียกอย่างกระตือรือร้นว่า “พระชายาผิงหยาง ช่างบังเอิญจริง ๆ ท่านก็มาทานอาหารที่นี่เหมือนกัน!”
ครั้นหลิงอวี๋ได้ยินชื่อนี้ก็หันหน้าไปมองโดยสัญชาตญาณ
ก็เห็นพระชายาผิงหยางกำลังพาอธิราชตัวน้อย อ้วนตุ้ยนุ้ยของนางเดินเข้ามา ยังมีนางรับใช้อาวุโสสองสามคนติดตามอยู่ข้างหลังมาด้วย
พระชายาผิงหยางอายุยี่สิบกว่าปี มีทรงหน้าเล็กเรียว แต่มีรอยสิวขรุขระเหลือทิ้งไว้ตั้งแต่วัยแรกแย้ม แม้จะทาแป้งหนาก็ไม่อาจบดบังมิด
ปรางแก้มของนางบุ๋มทั้งสองข้าง จมูกเรียวเล็กมีริ้วรอยประปรายและหางตาก็มีรอยตีนกาเช่นกัน เพียงดูแค่หน้าตาก็ไม่สมตนแล้ว
ชายาผิงหยางมีความขัดแย้งกันกับหลิงอวี๋หลายครั้งล้วนเป็นเรื่องจำพวกแย่งชิงอาภรณ์ผ้าอาภรณ์ทั้งสิ้น
แม้ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ชายาผิงหยางก็มองนางขัดตาและจะคว้าโอกาสทำให้นางลำบากใจให้จงได้!
ทว่าหลักการยึดถือของหลิงอวี๋บอกว่า ‘เจ้าไม่สัพยอกข้า ข้าก็ไม่สัพยอกเจ้า’ ก่อนจะหันหน้ากลับมา
ชายาผิงหยางกวาดมองไปรอบโถงใหญ่อย่างหยิ่งผยอง ผงกศีรษะให้เสิ่นจวนด้วยความรำคาญ ก่อนจะเอ่ยถามเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน
“ไม่มีห้องส่วนตัวแล้วจริงรึ? ตัวข้าผู้เป็นพระชายามาทีไรล้วนนั่งแค่ห้องส่วนตัว ไม่ยอมไปเบียดกับคนไม่ได้เรื่องในห้องโถงใหญ่นี้แน่!”
เสี่ยวเอ้อร์ส่งยิ้มให้ “พระชายา นี่มิใช่ว่าเป็นเพราะแขกเยอะเกินไปหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไม่มีห้องส่วนตัวแล้วจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! หากพระชายามิโปรดโถงใหญ่ งั้นมาพรุ่งนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะเว้นห้องส่วนตัวให้ท่านแน่นอน!”
“ช่างเถอะ โถงใหญ่ก็โถงใหญ่! ผู้ใดบอกว่าเป่าเอ๋อร์ของข้าต้องทานอาหารร่วมกับพวกเจ้ากัน!”
ชายาผิงหยางยื่นมือชี้โต๊ะที่เหลืออยู่อย่างวางท่าสั่ง กล่าวจู้จี้ว่า
“เช็ดโต๊ะและเก้าอี้หลาย ๆ รอบให้ตัวข้าซะ เช็ดให้สะอาดด้วย!”
เสี่ยวเอ้อร์รีบเรียกเสี่ยวเอ้อร์อีกสองคนมาเช็ดโต๊ะและเก้าอี้หลาย ๆ รอบ
“ตัวปัญหา...”
หลิงอวี๋แบะปากอย่างเหยียดหยาม แค่กินข้าวจะวางมาดไปทำไม!
กว่าจะรอให้พระชายาผิงหยางและอธิราชตัวน้อยของนางนั่งลงได้ จากนั้นเสิ่นจวนก็วิ่งไปกระซิบใกล้ ๆ ข้างหูชายาผิงหยางไปสองสามประโยค
พระชายาผิงหยางกวาดตาไปทางหลิงอวี๋ด้วยแววตาเหยียดหยาม กล่าวเสียงดัง
“เสี่ยวเอ้อร์ ข้าไม่ดูรายการอาหารแล้ว สิ่งใดแพงพวกเจ้าก็ยกสิ่งนั้นมาให้เราเสีย!”
เสิ่นจวนเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างลำพอง หัวเราะแล้วกล่าวคำ “ถูกต้อง เราก็ขอสั่งเหมือนกัน! พวกเรามิใช่คนที่ไม่มีปัญญากิน มิเหมือนคนไส้แห้งคร่ำครึบางคน! ไม่มีปัญญาจ่ายแต่ก็ยังจะแสร้งว่ามีเงิน!”
หลิงเยวี่ยเห็นคนที่เอ่ยวาจาทำให้ท่านแม่ต้องอับอายอยู่หน้าประตูข้างเข้าเมื่อครู่อีกครา เลยถลึงตามองนางอย่างฮึดฮัด มือเล็กคว้าหลิงอวี๋ไว้ไม่เป็นสุข
หลิงอวี๋ประคองมือของเด็กน้อยมาลูบด้วยรอยยิ้ม กล่าวเสียงแผ่วว่า “เยวี่ยเยวี่ย หากสุนัขกัดเจ้าหนึ่งคำ เจ้าจะกัดคืนหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ!” หลิงเยวี่ยนึกฉงนมึนงง “เหตุใดสุนัขต้องกัดข้า? ไม่มีสุนัขที่นี่นะขอรับ!”
“ที่นี่ไม่มีสุนัข! แต่นี่คือการเปรียบเปรยต่างหาก! เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคนมีการศึกษาต่างกินข้าวกันเงียบสงบ มีแต่คนไร้การศึกษานั้น จะกินข้าวก็ยังเห่าเยี่ยงหมา!” หลิงอวี๋อธิบายอย่างอดทน
หลิงเยวี่ยหันไปมองโดยรอบ คนมากมายต่างกินข้าวกันอย่างเงียบสงบจริง ๆ แม้แต่เสียงพูดคุยก็แผ่วเบา
นอกจากสตรีต่ำทรามพวกนั้นที่เพิ่งด่าท่านแม่ไป…
หลิงเยวี่ยพยักหน้าสักพัก “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”
“หลิงอวี๋ เจ้าด่าใครเป็นสุนัข?”
เสิ่นจวนไม่ทนครั้นได้ยินคำพูดนี้ก็ร้องลั่นว่า “เจ้าด่าใครว่าไร้การศึกษา?”
การหลับในและวิ่งชนหมอน สำนวนจีนซึ่งหมายถึง ได้สิ่งที่ต้องการหรือความปรารถนานั้นมาโดยบังเอิญ ในสถานการณ์ที่ทันเวลาพอดี
เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึง บริกรในร้านอาหาร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...