ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา นิยาย บท 62

หลิงอวี๋มองนางอย่างเฉยเมย “เสียงผู้ใดดังก็เป็นผู้นั้นไร้การศึกษาไงเล่า ขนาดเด็กยังเข้าใจ เจ้ากลับมิเข้าใจรึ?”

“ถ้าไม่เข้าใจก็กลับไปให้แม่เจ้าสั่งสอนภาคบังคับเจ้าใหม่อีกแปดปีซะสิ!”

เสิ่นจวนบันดาลโทสะจนตัวสั่นเทิ้ม หลิงอวี๋คนต่ำช้าผู้นี้กลายเป็นคนฉลาดพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

เมื่อก่อนพอถูกตนกล่าวไม่กี่ประโยคก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธตลอดแท้ ๆ !

นี่เพิ่งไม่พบกันไปไม่กี่วัน ผู้ที่ถูกทำให้โกรธจนต้องกระทืบเท้ากลับเป็นตนเสียอย่างนั้น!

มีคุณหนูผู้หนึ่งในกลุ่มนั้นมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบว่า คนที่มากินข้าวที่นี่ทั้งหมดล้วนต่างมองมา และแล้วใบหน้านางก็แดงฉับพลัน

นางดึงเสิ่นจวนเข้ามากระซิบเตือนข้าง ๆ ว่า “เรามาดูเรื่องบันเทิงของนาง! มิใช่ให้ผู้อื่นมาดูเรื่องบันเทิงเรา!”

“ทนรออีกสักเดี๋ยว คอยดูนางไม่มีเงินจ่ายอีกสักหน่อย นั่นคงทำให้นางต้องอับอายเป็นแน่!”

คำพูดนี้เอ่ยเพื่อปลอบขวัญเสิ่นจวน ครั้นนางเห็นอันเจ๋ออยู่ที่นี่ ก็พลันนิ่งเงียบไป

นางปรารถนาออกเรือนกับเซียวหลินเทียน และอันเจ๋อก็เป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา นางเลยจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเอาไว้!

อาหารเพิ่งยกมา หลิงอวี๋ก็พลันเห็นลู่หนานพาเซียวหลินเทียนขึ้นไปชั้นบนแล้ว

นางแอบกลอกตา คนคนนี้มันจริง ๆ เลย แม้แต่ข้าวสักมื้อก็เป็นผีร้ายมาหลอกหลอนไม่จบสิ้น!

เซียวหลินเทียนเห็นหลิงอวี๋ก็ชะงักไปสักพักเช่นกัน ค่อยเห็นอันเจ๋อโบกมือให้ตนด้วยหน้าเปื้อนยิ้มทะเล้น ก็ตระหนักได้ทันทีว่านั่นคือความจงใจของเจ้านี่!

พระองค์ปล่อยให้ลู่หนานเข็นตนไปอย่างเมินเฉย

ครั้นเสิ่นจวนพบเข้าก็รีบวิ่งรุดไปข้างหน้า เอ่ยเรียกอย่างตื่นเต้น

“ท่านพี่หลินเทียน! หม่อมฉันไปพบท่านที่ตำหนักอ๋องอี้หลายคราแล้ว! คนเฝ้าประตูต่างบอกว่าท่านออกไปแล้วเพคะ!”

“เหตุใดท่านกลับมามิส่งคนมาบอกข่าวหม่อมฉันบ้าง!”

เซียวหลินเทียนขมวดคิ้วมุ่น หลังจากที่ขาทั้งสองข้างพิการก็ไปเยี่ยมเยียนท่านตามาสองคราแล้ว

สองครานี้ล้วนถูกอาชายแดกดันถากถาง กอปรกับท่าทีเจตนากล่าวคลุมเครือของบุตรผู้พี่เสิ่นเจียหยิน ต่อมาเซียวหลินเทียนก็ไม่ไปเยือนอีกเลย

เขารู้เจตนารมณ์ของเสิ่นจวนว่านางปรารถนาออกเรือนกับเขา

ท่านตาก็มีความคิดนี้ในเมื่อก่อน อาชายและน้าสาวพระสนมหรงเฟยล้วนแต่หยิบยกเรื่องนี้มากล่าวต่อเขา กล่าวว่ารอเสิ่นจวนเป็นหญิงปักปิ่น(1)ก็จะหมั้นหมายกับเขา

เซียวหลินเทียนมีคนที่หมายปองในใจแล้ว เขาจึงปฏิเสธไปในครานั้น

อาชายก็ไม่ยอมล้มเลิกและยังหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาบ่อยครั้ง

อย่างไรเสียหลังจากขาสองข้างตนพิกลพิการ อาชาย ท่านตาและพระสนมเฟยต่างก็มิได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก

เซียวหลินเทียนมิได้มีความรู้สึกพิศวาสใด ๆ ต่อเสิ่นจวน เมื่อก่อนมองนางในฐานะน้องสาว ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น

“เจ้าไปอยู่กับสหายเจ้าเถอะ! ข้าก็มีสหายที่กำลังคอยข้าอยู่ วันหลังค่อยคุยเถิด!”

เซียวหลินเทียนไม่อยากให้เสิ่นจวนเข้าใจผิด ฉะนั้นเลยตอบส่งเดชอย่างเย็นชาไปหนึ่งประโยค จากนั้นลู่หนานก็ร่วมมือโดยปริยายและเข็นเขาไปหน้าโต๊ะอันเจ๋อ

เซียวหลินเทียนมองค้อนอันเจ๋อ ทว่าเขากลับหัวเราะคิกคักตรัสเสียงทุ้มว่า

“เจ้าอยู่ตำหนักทั้งวี่ทั้งวันมิเบื่อหรือ! ให้เจ้าออกมากินข้าวข้างนอกเปลี่ยนอารมณ์สักหน่อย!”

เซียวหลินเทียนไม่กล่าวคำ ชำเลืองมองอาหารบนโต๊ะพลันยิ้มหยัน “เชิญข้ามากินแค่เท่านี้เองรึ?”

“อาหารเพียงไม่กี่จานก็ปาไปจวนสามร้อยตำลึงเงินแล้ว เจ้ายังดูแคลนรึ?”

“เจ้าลองดูสิ พระชายาอ๋องอี้ก็กินของเหล่านี้เหมือนกัน!”

“ข้ายังใส่ใจเจ้านะ สั่งอาหารเพิ่มให้ท่านสองสามอย่าง!” อันเจ๋อจงใจบ่ายหน้าไปทางหลิงอวี๋

เซียวหลินเทียนหน้านิ่วคิ้วขมวด หลิงอวี๋ยังติดหนี้ก้อนโตอยู่ ไฉนเลยจะมีเงินจ่ายสามร้อยตำลึงเล่า?

“บุตรีผู้น้องคนนั้นของเจ้ามาดูเรื่องบันเทิงล่ะ! พวกนางเพิ่งเอ่ยกันว่า รอดูหลิงอวี๋ไม่จ่ายเงินไม่ไหวว่านางจะขายหน้าขนาดไหน!”

อันเจ๋อชมความบันเทิงไม่หวั่นเรื่องวุ่น เขาขายเสิ่นจวนพร้อมหัวเราะชอบใจ

เซียวหลินเทียนรู้สึกขัดเคืองอยู่บ้างที่ไม่คาดว่าสหายที่ดีคิดอยากให้ตนพัวพันในเรื่องถูกผิดของสตรี

ทว่าเขามาแล้วก็เอาเถอะ หากไปตอนนี้อีกก็อาจดูเหมือนตะบึงเกินไปนัก

เซียวหลินเทียนทำเพียงกัดฟันกรอด หยิบตะเกียบขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

แต่ทว่าพวกเสิ่นจวนน่าจะต้องผิดหวังแล้ว เนื่องมีตนอยู่ที่นี่ เกิ่งเอ้อเหยมิอาจปล่อยให้หลิงอวี๋ขายหน้าหรอก!

เกิ่งเอ้อเหยคือคนหลักแหลม แม้ขาสองข้างตนจะพิการ แต่มาครั้งไหนมิใช่ว่าเขาก็ยังสุภาพด้วยหรือไร?

ด้วยจุดนี้เพียงจุดเดียว เซียวหลินเทียนจึงเกรงใจเขาเช่นกัน!

ไฉนจะเหมือนอาชายกับเสิ่นเจียหยินเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเร็วถึงเพียงนี้!

เซียวหลินเทียนหรี่ตาเล็กน้อย คิดจริง ๆ หรือว่า ตนจะลุกขึ้นยืนมิได้อีกไปชั่วชีวิต และกลายเป็นของไร้ประโยชน์?

การมาของเซียวหลินเทียนทำให้แม่นมลี่ยิ่งกินไม่รู้รสแล้ว นางหวั่นว่าหลิงอวี๋จะไม่มีเงินจ่ายทั้งยังหวั่นเซียวหลินเทียนพิโรธ

หลิงเยว่ยังเป็นดรุณทำให้ไม่มีความพะวงมากนัก ในถ้วยเปี่ยมไปด้วยอาหารที่ถูกหลิงอวี๋ตักกองไว้

เขาไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อนจึงก้มศีรษะลงเริ่มกิน

ณ ที่นั่น อาหารของเสิ่นจวนและคนอื่น ๆ ยังไม่มา ฉะนั้นคนอื่น ๆ เลยหนีไปคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยที่โต๊ะชายาผิงหยาง

“พระชายาผิงหยาง ท่านได้ยินมาหรือยังเพคะ ว่าไทเฮาจะจัดงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพ!”

“ได้ยินมาว่า ไทเฮามีพระอาการประชวรก่อนหน้านี้ ปีนี้งานเฉลิมฉลองพระราชสมภพไม่จัดแล้ว!”

“แต่เมื่อคืนมิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พระองค์ตอบรับจัดงานอีกครั้งแล้วเพคะ!”

ครั้นชายาผิงหยางมองฝูงคนรอบกายตนก็พลันกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

“พวกเจ้ามิรู้หรือว่าเพราะเหตุใด? ตัวข้าผู้เป็นพระชายาได้รับข่าวไวกว่า ข้าจะบอกพวกเจ้าเอง...”

“ไทเฮาจัดงานงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพนั่นก็เพื่อขอบพระคุณผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตพระองค์!”

“เล่าลือว่า ไทเฮาไปกราบไหว้แสดงความเคารพบูชาที่วัดชิงเหลียน แล้วจู่ ๆ ก็ประชวรถึงขั้นหยุดหายใจ เป็นเทพยดาแห่งการแพทย์ที่ช่วยคืนชีพไทเฮากลับมา! ”

“อา ไม่คาดว่าไทเฮาจะจัดงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพเพื่อขอบพระคุณผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเจาะจงพิเศษ! สวรรค์ ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคนนี้ทรงเกียรติยิ่งยวด! มีเกียรติศักดิ์ศรีมากเท่าใดกันเนี่ย!” เฉิงจื่ออวี้ตะเบ็งเสียงด้วยความแปลกใจ

“ไม่ผิด ได้ยินมาว่าผู้มีพระคุณคนนี้ มีทักษะวิชาแพทย์เหนือชั้น ขณะที่ไทเฮาจวนสิ้นพระชนม์เขาใช้ยาวิเศษต่อไทเฮา เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปไทเฮาก็หายแล้วเพคะ!”

พระชายาผิงหยางกล่าวโอ้อวดว่า “ไทเฮาตรัสว่า ทองคำ เงิน หรืออัญมณีล้วนไม่เพียงพอแสดงความขอบคุณที่ช่วยชีวิต เช่นนั้นจึงใช้วิธีแบบนี้ตอบแทนล่ะ!”

“นั่นถูกต้องเพคะ ชีวิตไทเฮาของพวกเราล้ำค่า! ทองคำ เงิน หรืออัญมณีนั้นสามัญเกินไป มิอาจเปรียบไทเฮาได้! ทดแทนบุญคุณด้วยวิธีประเภทนี้สิถึงจะเป็นความจริงใจของไทเฮา!”

ครั้นหลิงอวี๋ได้ยินสิ่งนี้อยู่ด้านข้างก็แอบกลอกตาไปมา

ดูท่าบัดนี้เรื่องที่ไทเฮาตรัสว่า ต้องการเชิญนางไปงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพจะมิใช่แค่คำพูดพิธีรีตองแล้ว!

หญิงปักปิ่น หมายถึง ผู้หญิงที่อายุครบ 15 ปีในสมัยโบราณ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา