แต่ว่าเวลานี้นางกำลังขาดแคลนเงินมิใช่รึ?
นางไม่รังเกียจทองคำ เงิน หรืออัญมณีสามัญ ๆ หรอกนะ เอาสิ่งพวกนั้นมาอาบนางเลยเถอะ!
งานเฉลิมฉลองพระราชสมภพอะไรกันเปล่าประโยชน์ที่สุด!
เพราะคุณหนูชอบสิ่งของที่จับต้องได้จริง!
แม่นมลี่ใจเต้นผิดจังหวะ เคลื่อนตัวเข้าใกล้หลิงอวี๋กล่าวเสียงแผ่ว
“แรกเริ่มสิ่งที่ไทเฮาตรัสเป็นความจริง! คุณหนู บ่าวบอกแล้ว ท่านจะได้รับเทียบเชิญจากไทเฮาในครานี้แน่นอน!”
“ถูกต้อง ลือกันว่าไทเฮามิโปรดเสียงดัง ฉะนั้นงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพครานี้ไม่ได้เชิญคนเยอะมากมัก!”
“เริ่มส่งเทียบเชิญในวังเมื่อเช้านี้ เล่ากันว่าไม่เกินร้อยคน… และตัวข้าได้รับเทียบเชิญแล้ว! พวกเจ้าได้หรือยัง?”
ชายาผิงหยางกวาดสายตามองทุกคนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มประดา แถมยังเจาะจงมองไปทางหลิงอวี๋เป็นพิเศษ
“เพียงร้อยคนเองหรือเพคะ? งั้นเทียบเชิญนี้ช่างเลอค่าเสียจริง! ห่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง ท่านพ่อหม่อมฉันได้รับหนึ่งใบแล้วสามารถพาคนไปด้วยได้คนหนึ่ง ท่านแม่เลยบอกให้หม่อมฉันไป!” เสิ่นจวนก็กล่าวกระหยิ่มยิ้มย่องเช่นเดียวกัน
เจิงจื่ออวี้เองก็เร่งเอ่ยว่า “ท่านพ่อหม่อมฉันก็ได้รับแล้วหนึ่งใบ สามารถพาคนคนหนึ่งไปได้ ท่านแม่ก็ให้โอกาสหม่อมฉันไปเหมือนกัน!”
ตู้ตงหงบุตรีของรองเจ้ากรมสงครามกล่าวด้วยสีหน้าหมองหม่น “ท่านพ่อหม่อมฉันได้รับมาหนึ่งใบ ทว่าไปได้เพียงคนเดียวหม่อมฉันไม่อาจไปได้เพคะ!”
สวี่เหยียนบุตรีของวิญญูสำนักฮั่นหลินส่ายศีรษะกลัดกลุ้ม “ท่านพ่อหม่อมฉันมีคุณสมบัติมิพอ ไม่ได้รับเทียบเชิญ ช่างอิจฉาพวกเจ้าจริง ๆ ที่ได้ไปร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพของไทเฮา!”
เจิงจื่ออวี้สบสายตารู้ใจกันกับเสิ่นจวน การได้เข้าวังถือว่าเป็นเกียรติยิ่ง แต่นี่ล้วนเทียบกับการมีหน้ามีตาในสังคมมิได้ทั้งสิ้น
เมื่อถึงคราวนั้นเป้าหมายแท้จริงของพวกนางคือองค์ชายและคุณชายมั่งคั่งที่ได้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพต่างหาก!
ไม่ว่าจะเข้าตาองค์ชายหรือคุณชายมั่งคั่งก็สามารถทะยานขึ้นยอดกิ่งไม้เป็นหงส์ฟ้า(1) จากนั้นก็ได้เสพสุขชีวิตร่ำรวยเงินทองไปชั่วชีวี!
ตู้ตงหง สวี่เหยียนรวมถึงคุณหนูที่ช่วงอายุเหมาะจะออกเรือนไม่ได้ไป ทำให้พวกนางแอบรู้สึกยินดีในใจ เนื่องจากนี่เป็นสัญลักษณ์ว่าคู่แข่งของตนน้อยลงแล้ว!
ทั้งสองคนแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจ อีกยังคิดว่าท่านพ่อของตนช่างมีอำนาจอิทธิพลยิ่งนัก!
ฉินรั่วซือมีสีหน้าลนลานไม่เป็นสุขและไม่ได้สนใจว่าพวกนางกำลังพูดสิ่งใดกัน นางกำลังจ้องเขม็งหลิงอวี๋อยู่ตลอด เก็บงำความขุ่นเคืองเอาไว้
ฉินซานอายุยี่สิบกว่าปีแล้วและยังไม่เคยสมรส
ญาติมิตรสหายไม่น้อยเสนอการสู่ขอแก่เขา ทว่าเขาล้วนปฏิเสธหมดสิ้น
ฉินรั่วซือเป็นสหายสมัยร่ำเรียนเขียนอ่านของเซียวทงองค์หญิงหก หลังจากที่เซียวทงพบฉินซาน หัวใจดวงนี้ก็พลันตกอยู่กับฉินซานในบัดดล
เซียวทงบอกความในใจของตนอย่างนิ่มนวลต่อฉินรั่วซือหลายหน แต่ฉินรั่วซือไม่กล้าออกความเห็นใด ๆ
นางรู้ว่าฉินซานตัดใจจากหลิงอวี๋ไม่ได้มาตลอด นางคิดอยากแนะนำพี่ชายกับองค์หญิงหกอภิเษกสมรสกัน แต่ก่อนอื่นต้องทำให้ฉินซานตัดใจจากหลิงอวี๋ได้เสียก่อน
มิเช่นนั้น หากทำไม่สำเร็จองค์หญิงหกคงกริ้วแทบขาดใจเป็นแน่!
ฉินรั่วซืออายุจวนสิบเจ็ดปีแล้วเป็นเพราะบิดาถึงแก่กรรมเร็วเป็นเหตุให้ฐานะยากจน ส่วนเรื่องสู่ขอล้วนสูงไปก็รับไม่ไหว ต่ำไปก็ไม่เอา(2)!
เวลานี้แม้ว่าฉินซานจะก้าวหน้าในฐานะเเม่ทัพทหารม้าและองครักษ์มือดาบ แต่เรื่องการตบแต่งของนางก็ยังไม่ราบรื่นนัก!
หากปรารถนาออกเรือนให้สุขสบายต้องมีคนมากอิทธิพลคอยหนุนหลังยิ่งกว่านี้!
และองค์หญิงหกก็คือคนหนุนหลังชั้นยอดที่ฉินรั่วซือเกี่ยวพันได้
การเป็นน้องสาวสามีขององค์หญิงหกนี่มิใช่เป็นทางลัดทางหนึ่งหรอกหรือ?
ฉะนั้น ฉินรั่วซือจึงพร่ำเอ่ยสิ่งดี ๆ ขององค์หญิงหกอยู่ข้างหูฉินซานเป็นเนืองนิตย์ ทว่าทำแบบนี้ก็ไม่ได้ผลเช่นกัน!
หากคิดอยากให้ฉินซานลืมหลิงอวี๋ ฉินรั่วซือจะต้องจัดการจากตัวหลิงอวี๋เท่านั้น!
หลิงอวี๋ผู้นี้มีสิ่งใดดีนักหนา?
นางโง่เขลาเบาปัญญาทั้งยังออกเรือนมีลูกแล้ว!
ฉินรั่วซือกำลังเพ่งพินิจหลิงอวี๋ ผ่านไม่ชั่วขณะหนึ่งก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าทำอย่างไรให้พี่ชายตัดใจเสีย
“รั่วซือ ทางวังหลวงได้ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลเจ้าหรือยัง?”
เจิงจื่ออวี้เห็นนางนิ่งไม่กล่าวคำเลยใช้แขนสะกิดนาง พบว่าสายตาของฉินรั่วซือกำลังจ้องเขม็งหลิงอวี๋อยู่ก็พลันยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าจะมองนางโง่นั้นหาปะไร! เวลาในวังมีงานเฉลิมฉลองอะไรล้วนไม่เคยเรียนเชิญนางสักครั้ง! นางไร้คุณสมบัติร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพของไทเฮา!”
“ใช่แล้ว นางกับบุตรนอกสมรสคนนั้น คนในวังหลวงล้วนไม่ยอมรับทั้งสิ้น! ผู้ใดจะเชิญนางเล่า? หากไปก็สร้างความบันเทิงอับอายขายหน้าถูกหัวเราะเยาะเสียเปล่า!”
เสิ่นจวนทำสีหน้าเหยียดหยาม ไม่กล้ากล่าวเสียงดังเกรงว่าเซียวหลินเทียนได้ยินแล้วจะบันดาลโทสะ!
“ข้าเปล่า...!”
ฉินรั่วซือถูกเจิงจื่ออวี้ปลุกสติ ก่อนจะตอบส่งเดช “ผู้ใดมองเจ้าโง่นั่นกัน!”
“เจ้ามิต้องพะวง เจ้าสนิทรักใคร่กับองค์หญิงหกถึงเพียงนี้ นางต้องให้เทียบเชิญเจ้าสักใบเป็นแน่!”
สวี่เหยียนนัยน์ตาลุกวาว คว้าฉินรั่วซือมากล่าวคำ “รั่วซือ เจ้าช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่? เข้าเฝ้าองค์หญิงหกขอเทียบเชิญช่วยข้าสักใบ ข้าอยากไปร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพของไทเฮายิ่งนัก!
“นี่… มิได้นะ! งานเฉลิมฉลองพระราชสมภพของไทเฮาเรียนเชิญไม่กี่คนเอง นั่นจะทำให้องค์หญิงหกลำบากใจเอาได้!”
ฉินรั่วซือยิ้มขมขื่น “ข้ามิกล้ารับปากว่าข้าจะทำได้ เมื่อเช้าองค์หญิงหกส่งคนมาให้ข่าวข้าว่านางกำลังลองคิดว่าหนทางเพิ่มอยู่!”
“เฮ้อ มีเพียงร้อยใบ พวกเราก็อย่ามุ่งหวังนักเลย!” ตู้ตงกงกล่าวสิ้นกำลังใจ
ชายาผิงหยางมองอิริยาบถกลัดกลุ้มของเหล่าคุณหนูที่ไม่อาจร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพได้ก็พลันคลี่ยิ้มขึ้น
“พวกเจ้าอย่าเศร้าใจไป ถ้าร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพมิได้ก็คอยถึงงานเลี้ยงวังหลวงฉลองปีใหม่เถิด! คราวนั้นไทเฮาทรงหายจากอาการประชวรแล้วจะต้องจัดงานยิ่งใหญ่เอิกเกริกเป็นแน่!”
“พวกเจ้าคิดดูสิ งานเลี้ยงในวังทุกครั้งก็เชิญพวกเจ้านี่! เพียงครานี้จำนวนจำกัดเลยมิได้เชิญพวกเจ้า...”
“แต่มิเหมือนบางคน มีงานเลี้ยงในวังหลวงกี่ครั้งล้วนไม่รับเชิญนางเลยสักครั้ง… นางไม่เห็นจะร่ำไห้เลย พวกเจ้าจะเศร้าใจไปไย!”
พวกคุณหนูต่างมองไปทางหลิงอวี๋พร้อมเพรียงพลันหัวร่อขึ้น
สวี่เหยียนกล่าว “พระชายาท่านตรัสได้ถูกต้องเกินไปแล้ว! หม่อมฉันเปล่าเศร้าใจ หม่อมฉันกำลังรอร่วมงานงานเลี้ยงวังหลวงฉลองปีใหม่เพคะ!”
ฉินรั่วซือรั้งสายตากลับมามองท่าทีคล้ายห่วงหน้าพะวงหลัง “เราไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร… แต่ชายาอ๋องอี้คือหลานสะใภ้ของไทเฮา นางไม่ไปแสดงความยินดีมิใช่ว่าไม่ให้เกียรติไทเฮาหรือไร?”
เสิ่นจวนยิ้มหยัน “พระองค์มิได้เชิญนาง หากตัวเองยังหน้าด้านไป นั่นจะไม่ถูกองครักษ์ไล่ตะเพิดออกมารึ!”
ฉินรั่วซือหุบยิ้ม ก่อนจะเอ่ยอย่างมีนัยแฝง “พระชายาผิงหยาง ท่านคือคนในราชนิกุล(3) ไยท่านก็ลองช่วยชายาอ๋องอี้ผู้น่าเวทนาคนนี้หน่อยเถิดเพคะ...”
“นางมิเคยได้เข้าวังหลวงเลยสักครั้ง ลูกที่เลี้ยงก็ไม่เคยได้เปิดหูเปิดตา ท่านก็ช่วยนางขอร้องเทียบเชิญสักใบ ให้นางพาลูกไปเห็นโลกเสียบ้าง!”
นัยน์ตาชายาผิงหยางหรี่ลง เอ่ยเรียก “ชายาอ๋องอี้ เจ้าได้ยินพวกคุณหนูพูดคุยกันแล้วหรือไม่? พวกนางให้ตัวข้าช่วยเจ้าไปขอเทียบเชิญ เจ้าอยากร่วมงานเฉลิมฉลองพระราชสมภพหรือไม่?”
หลิงอวี๋ได้ยินชื่อของตัวเองก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ขอบคุณแล้ว แต่ข้าจะไปรับเทียบเชิญเองไม่ลำบากพระชายาหรอก!”
“เจ้ากล่าววาจาโอ้อวดให้น้อยลงหน่อย! ถ้าเจ้าจะได้รับเทียบเชิญ พวกข้าทุกคนต้องมีในมือคนละใบแล้ว!” สวี่เหยียนกล่าวถากถาง
“ถูกต้อง! ชายาอ๋องอี้ ผู้อื่นไม่รู้ ตัวข้าก็จะไม่รู้หรือ? ว่าวังหลวงส่งให้แค่ท่านอ๋องอี้หนึ่งใบเท่านั้น เจ้าจะไปเอามาจากที่ใดกันเล่า!”
ชายาผิงหยางยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ชายาอ๋องอี้ นี่คือโอกาสทองของเจ้าแล้ว! ถือเทียบเชิญเข้าเฝ้าไทเฮาในวังเลย บุตรของเจ้าผู้นี้ให้ไทเฮาได้เห็นสักหน่อยว่าทรงโปรดหรือไม่ มิแน่ว่าอาจได้ลงบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลแห่งราชวงศ์เชียวนะ!”
แม่นมลี่นัยน์ตาทอประกาย หันมองหลิงอวี๋โดยสัญชาตญาณ
หลิงซินก็เกิดความผันใจ คุณชายน้อยไร้ชื่อไร้แซ่ตั้งแต่กำเนิดมา โดนคนอื่นคิดว่าเป็นบุตรนอกสมรส หากได้บันทึกลงลำดับวงศ์ตระกูลแห่งราชวงศ์ล่ะก็ คงไม่มีใครกล้าด่าคุณชายน้อยว่าเป็นบุตรนอกสมรสได้ในภายภาคหน้าแล้ว!
ทะยานขึ้นยอดกิ่งไม้เป็นหงส์ฟ้า อุปมาถึง ผู้หญิงที่เดิมมีพื้นเพไม่ได้ดีมาก แต่เพราะได้อาศัยฐานะร่ำรวยของผู้ชายจึงกลายเป็นคนที่สูงส่งยิ่งขึ้น
สูงไปก็รับไม่ไหว ต่ำไปก็ไม่เอา อุปมาว่า ไม่มีข้อเสนอใดที่น่าพอใจเลย
ราชนิกุล หมายถึง ผู้มีเชื้อสายของพระมหากษัตริย์, ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงทะลุห้วงเวลา
ลุ้นจะหนียังไง...
หงุดหงิด กับเด็กนรกก...
อ๋องอี้กับชิวเหวินซวงเหมาะสมกันมาก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลย คนนึงเป็นอ๋องใจบอด อีกคนมักใหญ่ใฝ่สูง เล่เหลี่ยมมากมาย...
ถ้านางเอกกับลูกยอมรับอ๋องอี้ในที่สุดคือไม่เข้าท่าเลยนะ...
จะได้เปิดโรงหมอแล้ว เย่ๆๆๆ...
อ๋องอี้ก็ยังโง่ให้คนอื่นจูงจมูกง่ายๆเหมือนเดิม...
ต่อให้ไม่ใช่ลูกเห็นเด็กเล็กโดนขนาดนั้นก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างไหม แต่นี่คือจิตใจอำมหิตมากกกก...
ในที่สุดควสมจริงก็เปิดเผยสักที แล้วทุกคนจะรับผิดชอบที่รักแกเยวี่ยเยวี่ยกับหลิงอวี่อย่างไรล่ะ...
อ๋องอี้ก็เฮงซวย ฮ่องเต้ก็ถูกจูงจมูกง่ายๆ หวังว่านางเอกกับลูกจะรอด แล้วทำให้พ่อกับปู่รู้ว่าตัวเองชั่วช้าคิดฆ่าลูกกับหลานแท้ๆได้ลงคอ หรือยัยน้องกับลูกต้องถูกทรมานเจียนตายจนใกล้ตอนจบเลยหรือเปล่า ส่วนไทเฮานั้นถ้าน้องรอดชีวิตไปได้ก็อย่าได้พบหญิงชรานางนี้อีกเลย...
อ๋องอี้คือผัวสารเลวสุดแสนเฮงซวยที่สุดแล้ว ต่อไปข้างหน้า ถ้านางเอกมารักกับผัวเฮงซวยแทนที่จะเลิกรากันไปนี่คือ เธอช่างใจกว้างไปละ...