ยอดหมอยาของอ๋องเสียน นิยาย บท 321

บทที่ 321 เขาคือมังกรทอง

ตะโกน: “ติดหนี้ไม่ยอมชดใช้ ข้าจะฟ้องศาล”

“ฟ้องศาล? ข้านี่แหละศาล!”

เมื่อประโยคนี้พูดจบ ปู้เหวินก็เถียงขึ้นมาว่า: “เจ้าเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?”

“ข้าไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่ข้าสามารถเอาผิดเจ้าได้ เจ้ามาเอะอะโวยวาย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ความผิดเช่นนี้ ข้าไม่สามารถทนดูอยู่ได้ เร็วเข้า......ไปเอาเขาลงมา”

โจวชางเหวินชี้ไปที่ ปู้เหวินส่วนหยางจื้อก็เหงื่อไหลอยู่ แล้วพูดเสียงเบาๆว่า: “ท่านพ่อ เขาฝีมือร้ายกาจมาก พวกเราล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ไม่สู้ไปเชิญคนอื่นมาดีกว่า เอาคนที่อยู่ในกองทัพมา”

พี่ชายของหยางจื้ออยู่ในกองทัพ การที่เขาจะเรียกคนมานั้นไม่ใช่เรื่องยาก

โจวชางเหวินพยักหน้า: “รีบให้คนไป ข้าจะฟังดูว่าพวกเขาพูดอะไร”

หยางจื้อรีบให้คนไปที่กองทัพเพื่อขอความช่วยเหลือทันที ส่วนทางนี้ แม่นมสวีรีบเข้าไปแก้ไขสถานการณ์: “ใต้เท้าซ่างซู ได้โปรด ให้ความเป็นธรรมกับเจ้านายของพวกเราด้วย เจ้านายของพวกเราจะต้องไปเข้าเฝ้า”

“......”

เมื่อเห็นแม่นมสวี โจวเหวินจางก็คลายความโกรธลงไปเล็กน้อย เขามองฮูหยินแก่ที่อยู่บนรถ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก: “ข้าเคยบอกแล้วว่า ให้พวกท่านไปเสีย แล้วทำไมจึงมาที่นี่อีก หรือท่านคิดว่าข้านั้นอ่อนแอ?”

ตอนนี้คนตระกูลกูลเฉินมีตำแหน่งที่สูงและมีอำนาจในกองทัพ เขาเองก็ไม่อยากล่วงเกิน

ถึงแม้จะเป็นถึงซ่างซู แต่ซ่างซูผู้นี้ก็รู้จักแยกแยะสูงต่ำ ตระกูลโจวของพวกเขายังมิอาจเทียบชั้นตระกูลเฉินได้

เรื่องนี้มีคนแจ้งให้ทราบตั้งนานแล้ว มิเช่นนั้นจะปฏิเสธที่จะเจรจาได้อย่างไร

“ใต้เท้าซ่างซู เจ้านายของข้า ตอนเด็กๆเข้าวังอยู่บ่อยๆ แล้วทำไมท่านจึงไม่ไปกราบทูลฮ่องเต้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านกั๋วกง หรือแม้แต่เจ้านายของพวกเราก็จำไม่ได้แล้ว?” แม่นมสวีพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แต่โจวชางเหวินก็ยังคงใจแข็ง เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่นมสวีพูด ก็พูดปฏิเสธขึ้นทันที

“พูดจาเหลวไหล ข้าไม่เคยรู้จักนาง ท่านให้นางแอบอ้างอาจารย์แม่ของข้า ช่างเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี”

“ใต้เท้าซ่างซู ไม่รู้จักจริงๆหรือ?”

“หึ!”

แม่นมสวีส่ายหัว: “ใต้เท้าซ่างซู ตอนนั้นที่ท่านมาตำหนักกั๋วกงของข้า อายุยังน้อยอยู่ ตอนนั้นท่านพูดสิ่งดีๆต่อหน้าเจ้านายของข้าไม่น้อย ตอนนี้ตำแหน่งสูงส่งแล้ว จึงไม่รู้จักกันอีกต่อไป ก็ดี ข้ากับเจ้านายก็จะขอตายอยู่ที่หน้ากรมอาญาของท่าน จะดูซิว่า ยังมีกฎหมายอยู่อีกไหม”

พูดจบ แม่นมสวีก็วิ่งเข้าไปที่เสาเพื่อที่จะเอาหัวโขกเสาให้ตาย เมื่อโจวชางเหวินเห็นท่าไม่ดี จึงรีบตะโกนขึ้นมาทันทีว่า: “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

มีคนเข้าไปขวางไว้ แต่ไม่ใช่คนของพวกเขา แต่กลับเป็นปู้ทิง

ปู้ทิงแต่งตัวเป็นพ่อค้าหาบเร่ ดึงแม่นมสวีไว้ แล้วมองไปที่โจวชางเหวิน

โจวชางเหวินเดินเข้าไปหาแม่นมสวี แล้วพูดว่า: “พวกท่านทำเช่นนี้ทำไม อยู่กันดีๆไม่ได้หรืออย่างไร?”

“ใต้เท้าพูดจาแปลกประหลาด พวกเรามีเรื่องร้องทุกข์ หากไม่มากรมอาญา แล้วจะให้ไปที่ไหนกัน?”

“......” โจงชางเหวินทำสีหน้าเย็นชา สะบัดแขนเสื้อ แล้วหันหลังเดินไปยืนอีกด้านหนึ่ง เดินไปยืนอยู่หน้าฮูหยินแก่แล้วก้มหน้าลงไปมอง

“ท่านกลับไปเถอะ ให้เข้าพบไม่ได้”

อันหลิงหยุนที่ยืนอยู่อีกทางด้านหนึ่งได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว นางกำลังรอคำพูดประโยคนี้อยู่

ฮูหยินแก่ยิ้มอย่างใจเย็น: “โจงชางเหวิน หากว่าท่านยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง ยังมีความรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ท่านกั๋วกงที่จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังจะพอให้อภัยท่านได้บ้าง”

“......” โจวชางเหวินรู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “อาจารย์แม่ ศิษย์ขอร้องท่าน ตอนนี้ตระกูลเจียมีตำแหน่งสูงส่งในกองทัพ ศิษย์เองก็จนปัญญาจริงๆ!”

“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ก็พอแล้ว ข้ากำลังรอเจ้าอยู่”

กงชิงวี่ไม่ทันได้รอให้อันหลิงหยุนออกโรง เดินออกไปก่อน ข้างกายเขามีกั๋วจิ้วน้อยและหวางหวยอันเดินจามไป

หวางหวยอันหัวเราะเบาๆ: “โจวซ่างซู ไม่พบกันนาน สบายดีไหม!”

เมื่อโจวซ่างซูเห็นคนทั้งสอง ก็ตกใจแล้วรีบคุกเข่าลง: “หม่อมฉันถวายบังคมอ๋องซื่อเจิ้น ถวายบังคมกั๋วจิ้วน้อย”

ส่วนคนที่เหลือก็ค่อยๆคุกเข่าลง มีเพียงอันหลิงหยุนที่ยืนมองนิ่งไปที่นกกระเรียนคู่บนหน้าอกของโจวซ่างซู จากนั้นจึงเรียกคนมาถอดชุดข้าราชการของโจวซ่างซูออกทันที

“เด็กๆ ถอดชุดข้าราชการของเขาออก!”

โจวซ่างซูตัวสั่น เสียงนี้มัน?

เงยหน้าขึ้นไปมอง ยังไม่ทันจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน อันหลิงหยุนก็เดินไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลเสียแล้ว

เมื่อขึ้นรถม้าแล้ว นางก็ต้องการที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้านนอกกว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยฟ้าก็มืดพอดี โจวชางเหวินตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ไม่รับรู้อะไรแล้ว

อันหลิงหยุนลงมาจากรถม้าโดยมีกงชิงวี่ยื่นมือไปประคอง เมื่อมือของเขาจับได้ ก็อุ้มนางลงมา

อันหลิงหยุนมองลงไปบนพื้น รอบๆมีคนยืนล้อมวงมุงดูอยู่ บนเอวของอันหลิงหยุนแขวนหยกแขวนไว้หนึ่งชิ้น อันหลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่าใส่กลับมาให้นางตอนไหน อาจจะเป็นสัญลักษณ์สำหรับใช้แสดงสถานะ นางเองก็ไม่ได้พูดอะไร

โจวชางเหวินยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาตัวสั่นเทา สวมใส่ชุดสีขาว

ด้านหน้าของเขาคือฮูหยินแก่

แม่นมสวียืนร้องไห้อยู่อีกทางด้านหนึ่ง

อันหลิงหยุนมองอาหยู่ที่สะพายกล่องยายืนอยู่ข้างรถม้า แล้วจึงเรียกอาหยู่: “มานี่ซิ”

อาหยู่เดินเข้าไปหา วางกล่องยาลง แล้วจึงเดินเข้าไปทำความเคารพฮูหยินใหญ่: “ข้าน้อยอาหยู่ คารวะฮูหยินเฉินกั๋วกง”

ฮูหยินใหญ่ทำเพียงแค่ยิ้มเบาๆหนึ่งครั้ง โดยไม่ได้พูดอย่างอื่น

อันหลิงหยุนเปิดกล่องยาออก แล้วจึงนำเข็มเงินออกมาสองสามเล่ม: “ข้าจะฉีดยาชาให้แก่ฮูหยิน อีกสักครู่ขาทั้งสองข้างก็จะไร้ความรู้สึก ท่านอ๋องจะพาท่านเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ส่วนข้าจะเป็นคนนำเข็มเงินออกจากตัวฮูหยินให้เอง”

“ขอบพระทัยพระชายา ขอบพระทัยอ๋องเสียน”

“ไม่ต้องขอบคุณ!”

อันหลิงหยุนเริ่มดึงเข็มออก ฮูหยินแก่มีความอดทนอย่างมาก ไม่ร้องออกมาแม้แต่คำเดียว

น่าจะใช้ได้แล้ว อาหยู่อุ้มฮูหยินแก่ขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง โดยมีอันหลิงหยุนเดินตามไป

ม่านของรถม้าปิดลง กงชิงวี่พูดว่า: “จงรับคำสั่งจากข้า จับกุมปินปู้ซ่างซู ปินปู้ซื่อหลัง รวมถึงคนตระกูลเฉิน ทั้งหมด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ถางเหอมาถึงแล้ว เขารับคำสั่งเสร็จก็หันหลังเดินจากไป

กงชิงวี่กลับหลังหันขึ้นรถม้า อาหยู่ขับรถม้าเข้าวังไป

ส่วนกั๋วจิ้วน้อยและหวางหวยอันทำสีหน้าจนใจ แล้วจึงเดินตามไป

เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องออกหน้า ขอเพียงแค่หาพยานที่จำเป็นได้ ถ้าหากฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ ก๋สามารถเรียกตัวมาได้

ภายในรถม้า อันหลิงหยุนมองไปที่ฮูหยินแก่ ซึ่งตอนนี้หลับไปเรียบร้อยแล้ว

“ฮูหยินแก่ผู้นี่ก็น่าสงสาร อายุเจ็ดแปดสิบปีแล้ว” อันหลิงหยุนรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย

กงชิงวี่ยิ้ม: “มากกว่านั้น ตอนนี้อายุแปดสิบเจ็ดปีแล้ว”

“ฮะ?”

อันหลิงหยุนมองดูฮูหยินแก่แล้วตกอยู่ในภวังค์ ลำบากฮูหยินแก่แล้ว

กงชิงวี่พูดว่า: “ฮูหยินใหญ่เป็นเหมือนพี่น้องของเสด็จย่า”

“ไทฮองไทเฮา?”

อันหลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจ

กงชิงวี่พยักหน้า: “ตอนที่พวกนางยังเป็นสาวอยู่นั้น มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างมาก ฮูหยินใหญ่เป็นนางงามในวัง เกิดในตระกูลสูงส่ง แต่นางไม่อยากจะเข้าวังไปเป็นพระสนม จึงหาทางที่จะออกจากวัง ตอนนั้นเสด็จย่าและนางมีชะตาต้องกัน นางช่วยเสด็จย่าไว้หลายครั้ง เพื่อเสด็จย่าแล้ว ทำให้ตนเองต้องได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถมีลูกได้อีก

เฉินกั๋วกงเป็นองครักษ์ในวัง ทั้งสองรู้สึกดีต่อกัน

อีกทั้งมีอยู่ครั้งหนึ่ง เฉินกั๋วกงเพื่อที่จะช่วยเสด็จปู่แล้ว ทำให้เกือบจะต้องตายอยู่ภายในวัง ตอนที่เสด็จปู่ตกรางวัลให้แก่เขาได้ถามเขาว่าอยากได้อะไร เขาตอบว่าอยากได้คนคนหนึ่ง ซึ่งคนผู้นั้นอยู่ในวัง

เสด็จปู่กล่าวว่า ขอเพียงแค่ไม่ใช้ผู้หญิงของเขาก็ย่อมได้

เฉินกั๋วกงจึงใจกล้าตอบไปว่าเป็นฮูหยินใหญ่ เช่นนี้จึงสามารถสู่ขอฮูหยินใหญ่จากวังแก่กลับมาได้

เพียงแต่เรื่องบางอย่างก็มิอาจเลี่ยงได้ ฮูหยินแก่ของตระกูลเฉินอยากอุ้มหลาน ภายหลัง เสด็จปู่เองก็รู้สึกลำบากใจ จึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีก จึงได้มีฮูหยินรองของตระกูลเฉินเพิ่มขึ้นมา

เกรงว่าฮูหยินใหญ่จะรู้สึกน้อยใจ เสด็จย่าจึงได้แต่งตั้งให้นางเป็นฮูหยินชั้นเก๊ามิ่ง อีกทั้งเฉินกั๋วกงเองก็ชอบนางมาก ทั้งสองรักใคร่ปรองดองกันมาโดยตลอด

คนภายนอกลือกันว่า มีเพียงแค่วันที่ถูกกำหนดไว้พิเศษเท่านั้น ที่เฉินกั๋วกงจะยอมไปหาฮูหยินรองที่ห้อง หนึ่งเดือนให้หลังเมื่อตั้งท้องแล้ว จึงยิ่งออกห่าง”

อันหลิงหยุนเลิกคิ้ว: “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”

“แน่นอน ที่ที่เจ้าอยู่ ลูกอาจจะไม่ได้มีความสำคัญมาก แต่ที่ที่ข้าอยู่นี้ ลูกถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดีที่หยุนหยุนเองก็มีแล้ว ข้าจึงวางใจได้แล้ว!”

เมื่อพูดถึงลูก อันหลิงหยุนก็รู้สึกผิดหวัง จะต้องมีสักกี่คนถึงจะดี?

ไม่ใช่เรื่องที่จะกำหนดได้ง่ายๆ อันหลิงหยุนพูดว่า: “ท่านอ๋อง แต่ว่าไปที่ตระกูลเฉินมาแล้ว ข้าหมายถึงตระกูลเฉินที่บ้านเดิม ที่นั่นตอนที่ไปถึงก็ไม่มีใครแล้ว”

“ข้ากลับมาก็ส่งนกพิราบสื่อสารออกไปแล้ว คิดว่าตอนนี้ตระกูลเฉินคงจะถูกจับกุมไว้หมดแล้ว”

“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ท่านอ๋องอยู่ไกลขนาดนั้นยังมีคนอีกหรือเพคะ?”

อันหลิงหยุนค่อนข้างประหลาดใจ กงชิงวี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ด้านนอกรถม้าได้ยินเสียกกระพือปีกดังขึ้นมา อาหยู่พูดว่า: “ท่านอ๋อง นกพิราบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ให้มันเข้ามา”

กงชิงวี่สั่งด้วยน้ำเสียงที่สงบ ผ้าม่านของรถม้าเปิดออก นกพิราบบินเข้ามาในรถม้า ไปเกาะอยู่ที่ไหล่ของกงชิงวี่ อันหลิงหยุนหันไปมอง นกพิราบก็บินมาเกาะที่ไหล่ของอันหลิงหยุน

อันหลิงหยุนตกใจเล็กน้อย นกพิราบก็ส่งเสียงร้องคูคู

“ทำไมเจ้ายังไม่กินข้าวอีก?” อันหลิงหยุนเองก็รู้สึกตกใจ จู่ๆนางก็ฟังออกว่านกพิราบพูดอะไร

กงชิงวี่เองก็ค่อนข้างที่จะแปลกใจ: “หยุนหยุน เจ้าพูดอะไรนะ?”

“ข้าบอกว่ามันพูดกับข้า มันยังไม่กินข้าว” อันหลิงหยุนวางมือลงบนไหล่ของกงชิงวี่ แล้วจับไหล่ของกงชิงวี่ไว้ กงชิงวี่มองไปที่บนไหล่ ดูอันหลิงหยุนกับนกพิราบที่เกาะอยู่บนไหล่

อันหลิงหยุนมองนกพิราบที่อยู่บนไหล่แล้วพูดว่า: “เจ้าไปที่ไหล่ของเจ้านายเจ้าก่อนนะ รอให้เจ้านายของเจ้าอ่านจดหมายเสียก่อน รับรองว่าเขาไม่มีทางปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน”

นกพิราบผงกหัวสองครั้ง ทำเหมือนเข้าใจในสิ่งที่อันหลิงหยุนพูด แล้วจึงมองตามไปที่กงชิงวี่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปหากงชิงวี่ อีกทั้งนกพิราบตัวนั้นไม่ได้บินเข้าไปหา แต่กลับเดินเข้าไปหา

เมื่อเดินขึ้นไปถึงบนไหล่ของกงชิงวี่ ก็มองไปที่กงชิงวี่ กงชิงวี่จับนกพิราบลงมา แล้วแกะจดหมายที่เท้าของนกพิราบออก จากนั้นจึงเปิดออกดู

ที่ผ่านมานกพิราบก็จะบินจากไป แต่ครั้งนี้กลับเกาะอยู่ที่ไหล่ของกงชิงวี่ไม่ขยับไปไหน

อันหลิงหยุนมองหารอบๆ ไม่เจอสิ่งที่นกพิราบสามารถกินได้ ดังนั้นจึงได้สั่งอาหยู่ว่า: “อาหยู่ รีบไปหาอาหารมาป้อนให้นกพิราบเร็ว”

อาหยู่รับคำสั่งแล้วรีบไปหาอาหารทันที ส่วนรถม้าก็นำไปจอดไว้อีกทางด้านหนึ่ง

ยังดีที่บนถนนพอมีร้านค้าอยู่บ้าง มีบางร้านที่ขายอาหาร

อาหยู่ซื้ออาหารมา แล้วส่งเข้าไปด้านใน อันหลิงหยุนกำขึ้นมาแล้วยื่นให้นกพิราบ นกพิราบบินไปเกาะที่ข้อมือของอันหลิงหยุนแล้วกินอาหาร

อันหลิงหยุนค่อยๆลูบขนของนกพิราบอย่างระมัดระวัง และรู้สึกตกใจมาก

กงชิงวี่อ่านจดหมายเสร็จก็เขียนขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งฉบับ จากนั้นก็นำไปผูกไว้ที่เท้าของนกพิราบ แล้วรอให้นกพิราบบินไป

ปกติแล้วนกพิราบจะบินจากไปอย่างรวดเร็ว แต่วันนี้นกพิราบเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหาร กงชิงวี่นั่งพิงอยู่ในรถม้ามองดูอันหลิงหยุนกับนกพิราบ เขาไม่เข้าไปรบกวน เขาทำแค่เพียงลูบแหวนมรกตที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือของเขาเท่านั้น

อันหลิงหยุนลูบอยู่สักพัก นกพิราบก็เข้ามาใกล้ๆท้องของอันหลิงหยุน แล้วมองดูด้านนอกเสื้อผ้าของอันหลิงหยุนอย่างประหลาดใจ อันหลิงหยุนก้มหน้าลงไปถามว่า: “เจ้ามองอะไร?”

นกพิราบส่งเสียงกูลูลูไม่รู้ว่าพูดอะไร อันหลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจ: “เจ้านายของเจ้าอยู่ข้างใน?”

นกพิราบส่งเสียงกูลูลูอีก ทำให้อันหลิงหยุนประหลาดใจเข้าไปใหญ่: “เจ้าบอกว่า เจ้านายเจ้าก็ชอบเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

นกพิราบส่งเสียงกูลูลูแล้วบินขึ้นมา พอดีกับที่รถม้ามาถึงวังหลวง อาหยู่เปิดผ้าม่านของรถม้าขึ้น นกพิราบจึงกระพือปีกบินจากไป

อันหลิงหยุนมองตามออกไปด้านนอก นางเอามือมาวางไว้ที่ท้อง น่าแปลกจริงๆ เมื่อครู่นางรู้สึกว่าในท้องมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย

ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าเคลื่อนไหวเพราะอะไร แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีการเคลื่อนไหวแน่นอน

นกพิราบบินไปไกลแล้ว กงชิงวี่จ้องมองอันหลิงหยุน บนใบหน้าของเขาแสดงถึงความชัดเจน

อันหลิงหยุนพูด: “ท่านอ๋อง รู้สึกว่าท้องจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ท่านจะลองลูบดูไหม”

อันหลิงหยุนรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก แต่ว่านางรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อกงชิงวี่ได้ยิน ก็รีบขยับตัวไปด้านหน้าอันหลิงหยุนทันที แล้วจึงยื่นมือเข้าไปลูบดู

เมื่อมือแตะลงบนท้อง ท้องของอันหลิงหยุนก็ขยับ ดูเหมือนกับมีกำปั้นเล็กๆขยับอยู่ พุ่งเข้ามาหามือของเขาที่วางอยู่บนท้อง

กงชิงวี่หดมือ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอันหลิงหยุน แล้วลูบดูอีกครั้ง แต่ท้องกลับสงบลงอย่างรวดเร็ว

“ข้ารู้สึกแล้ว”

กงชิงวี่จ้องอันหลิงหยุน อันหลิงหยุนขมวดคิ้ว นางรู้สึกสับสนมาก

ตอนนี้เด็กยังเล็กมาก หากว่ากันตามหลักทางการแพทย์ ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร เด็กจะสามารถยื่นมือออกมาได้อย่างไร?

แต่หากสิ่งที่นางรู้สึกไม่เป็นความจริง แล้วที่กงชิงวี่รู้สึกล่ะ คืออะไรกัน?

สามีภรรยาหันมองหน้ากัน อันหลิงหยุนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆกงชิงวี่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างสดใส: “ข้าคงได้ของดีราคาถูกมาแล้ว?”

อันหลิงหยุนถอนหายใจ: “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ จะต้องเกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างแน่นอน”

อันหลิงหยุนไม่เข้ามจเลยสักนิด ว่าทำไมตัวนางถึงกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่นางก็พูดออกไปแล้ว

กงชิงวี่ทำหน้าเคร่งขรึม: “พูดจาเหลวไหล”

อันหลิงหยุนจึงพูดว่า: “ท่านอ๋อง ท่านได้ยินว่า นกพิราบพูดว่าในท้องของข้ามีเจ้านายของมันอยู่ ท่านไม่รู้สึกแปลกใจเลยหรือ ว่าข้าฟังสิ่งที่นกพิราบพูดออกได้อย่างไร?”

กงชิงวี่ทำท่าทางเย็นชา: “ข้าเชื่อเพียงแค่ว่า เสือยังไงก็ไม่มีทางออกลูกเป็นหมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าเป็นถึงมังกรทองตัวหนึ่งเลยนะ?”

“ท่านไม่กลัวฮ่องเต้จะมาได้ยินเข้าหรืออย่างไร นี่มัน......”

“ข้าเองไม่ได้คาดหวังตำแหน่งนั้น ข้าเป็นมังกรทอง เป็นคำพูดที่ฮ้องเต้องค์ก่อนทรงตรัสไว้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนพูดเองอย่างนั้นหรือ?” กงชิงวี่พิงไปอีกทางด้านหนึ่ง แล้วมองดูฮูหยินแก่ที่อยู่ในรถม้า

เขาไม่อยากรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้ ถึงแม้จะรู้สึกสงสัย แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่อยู่อย่างมีความสุข

เขาสามารถมีลูกได้แล้ว แล้วจะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก

ส่วนเรื่องที่ทำไมอันหลิงหยุนถึงฟังสิ่งที่นกพิราบพูดออก แล้วยังสามารถสื่อสารกับนกพิราบได้นั้น กงชิงวี่เองไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะจริงๆแล้วการมีอยู่ของอันหลิงหยุน ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจแล้ว

“ไปเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย”

กงชิงวี่ลุกขึ้นแล้วลงจากรถไปก่อน เมื่อลงรถแล้วก็หันกลับมาแล้วยื่นมือให้อันหลิงหยุน เข้าแต่งกายเรียบร้อย ยืนเอามือข้างหนึ่งไขว้หลัง ส่วนมืออีกข้างกำลังรออันหลิงหยุนอยู่ อันหลิงหยุนลงจากรถแล้วยื่นมือให้เขา กงชิงวี่กำมือเอาไว้ แล้วพูดว่า: “ข้ารู้สึกว่า ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ขึ้น จะต้องมีเรื่องมงคลกับประเทศต้าเหลียงของเรา หมื่นๆปี”

อันหลิงหยุนเลิกคิ้วมองเขา: “บ้านเมืองมั่งคั่ง ต้องอาศัยราษฎรที่แข็งแกร่ง อย่าคิดว่าเด็กเพียงไม่กี่คน จะสามารถคุ้มครองประเทศต้าเหลียงได้ ท่านอ๋องอย่ามองพวกเขาสูงเกินไปนักเลย”

“ข้าบอกว่าได้ก็คือได้”

กงชิงวี่มองอาหยู่: “ไปพาฮูหยินใหญ่ลงมา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อาหยู่รีบขึ้นไปบนรถ ไม่นานหญิงชราก็ถูกอุ้มลงมา ประตูวังเปิดออก มีคนเดินออกมาจากข้างในทันที

อาหยู่วางฮูหยินแก่ลงด้านบน แล้วขับรถเข้าไปในวัง แม่นมสวีก็เดินตามเข้าไปด้วย

กงชิงวี่และอันหลิงหยุนเดินอยู่ทางด้านหลัง สวีกงกงเดินนำทางด้านหน้า มีคนในวังสองสามคนและตูไห่แห่งกองทัพวี่หลินคอยคุ้มกัน และมีนางกำนัลอีกหลายคนคอยเดินตาม

อันหลิงหยุนถามว่า: “ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะทรงเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”

“เฉินกั๋วกงเองก็เคยเป็นทหารที่มีชื่อเสียงที่ปกป้องประเทศชาติ ว่ากันว่าในตอนนั้นที่ประเทศต้าเหลียงกำลังกระจายอำนาจอยู่นั้น เฉินกั๋วกงต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อปกป้องประเทศเป็นเวลาสามสิบวัน

ตอนนั้นขาดแคลนทั้งนำและอาหาร เขาก็ไม่คิดที่จะล่าถอย

แล้วประเทศต้าเหลียงจะลืมผู้ที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติผู้นี้ได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นคงจะทำให้ใต้หล้าต้องผิดหวัง?”

กงชิงวี่พูดพลางเดินพลาง และจับมืออันหลิงหยุนไปพลาง

อันหลิงหยุนดึงมือของนางกลับ นางรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาคอยจูงมือนางอยู่เช่นนี้ หากมีคนเห็นเข้าคงจะต้องรู้สึกเขินอาย

นี่ทำให้ในความทรงจำของอันหลิงหยุนมีแต่ภาพที่อ๋องตวนจูงมือจุนฉูฉู ดูแล้วช่างรู้สึกอึดอัดจริงๆ

ไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่รู้สึกว่า เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องที่ดูไร้เดียงสานัก

แต่กงชิงวี่ก็จูงไม่ยอมปล่อย

เขาไม่ได้ออกแรง แต่นิ้วก็สามารถรัดมือของนางเอาไว้ได้ แล้วนางจะมีทางไหนได้อีก!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน