ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 111

ผู้นั้นคือแม่นมชุยที่อยู่ข้างกายฮูหยินอาวุโส สีหน้าของติ้งเป่ยโหวทะมึนลงเมื่อเห็นนาง

ยังไม่ทันรอให้แม่นมชุยได้อ้าปากพูด ติ้งเป่ยโหวบอกปัดออกไปเสียแล้ว “ไปบอกฮูหยินอาวุโส เจาเสวี่ยไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของจวนโหว จวนตั้งกว้างขวาง เจาเสวี่ยก็จะไม่ไปรบกวนความสงบของนางเช่นกัน ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตนไปก็พอแล้ว อย่าได้มีปัญหาต่อกันเลย”

แม่นมชุยเหลือบมองไปที่ไป๋ชิงหลิงอย่างลำบากใจ “ท่านโหว ท่านเข้าใจฮูหยินอาวุโสผิดแล้ว เมื่อฮูหยินอาวุโสทราบว่าแม่นางเจาเสวี่ยกำลังจะกลับมา จึงได้เจาะจงสั่งให้ข้าน้อยรออยู่ที่ประตูใหญ่ เพื่อเชิญท่านโหวและแม่นางเจาเสวี่ยไปยังเรือนฉืออวี้เพื่อร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเจ้าค่ะ ฮูหยินอาวุโสบอกว่า ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ความเข้าใจผิดเมื่อครั้งเก่าก่อนก็ควรหันหน้ามาปรับความเข้าใจกัน จะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยปราศจากความคับข้อง และไม่มีหินก้อนใหญ่มาคอยอัดอั้นอยู่ในใจของทุกคน”

ติ้งเป่ยโหวตกตะลึง ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจ “ฮูหยินอาวุโสกล่าวเช่นนั้นจริงหรือ?”

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแค่คนนำสารเท่านั้น ฮูหยินอาวุโสบอกให้ข้าอย่าได้บังคับแม่นางเจาเสวี่ย หากนางรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ให้กลับไปพักผ่อนที่เรือนชิงซินก่อน เมื่อใดที่แม่นางได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ค่อยไปรวมตัวกันที่เรือนฉืออวี้ก็ได้ คนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเคร่งเครียดไปเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของแม่นมชุยอบอุ่นมาก ความโอหังในอดีตของนางไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

เมื่อติ้งเป่ยโหวได้ยินดังนี้ ความตึงเครียดบนใบหน้าของเขาก็คลายลง

เขาอดไม่ได้ที่จะใจอ่อนกับท่าทีของฮูหยินอาวุโส

แต่ในความคิดของไป๋ชิงหลิง ฮูหยินอาวุโสผู้นี้จะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้นหรอกหรือ?

แม้ว่าติ้งเป่ยโหวจะมีอคติกับฮูหยินอาวุโสอยู่บ้าง แต่เขายังกตัญญูต่อนาง

“ท่านพ่อ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ ทำให้ผู้อาวุโสผิดหวังบ่อยครั้ง เกรงว่าจะไม่ดีเป็นแน่เจ้าค่ะ” นางเองก็อยากจะเห็นว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่หงเหมินแบบไหนกัน (**งานเลี้ยงที่หงเหมิน : งานเลี้ยงที่มีเจตนาไม่ดีซ่อนเร้นอยู่)

ติ้งเป่ยโหวดีใจอย่างยิ่งยวด เขารีบเอ่ยปากตอบรับ “ใช่ เจ้าพูดได้ถูกต้อง พ่อจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”

ไป๋ชิงหลิงรับรู้อยู่เต็มอก...

ติ้งเป่ยโหวเป็นคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ เมื่อไป๋ชิงหลิงร่างเดิมยังมีชีวิตอยู่ นางรักและสงสารบิดาผู้นี้มาก

และรู้ว่ามีหลายสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง

และด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องกลับมายังจวนติ้งเป่ยโหว

เมื่อมาถึงเรือนฉืออวี้

เจ้านายของเรือนแต่ละหลัง รวมทั้งฮูหยินอาวุโสต่างก็ออกมาต้อนรับ หากเทียบกับครั้งแรกแล้ว ครั้งนี้ค่อนข้างปรองดองกันมาก ทุกคนต่างทักทายพวกนางด้วยรอยยิ้ม

นางหลิ่ว มารดาของเจ้าของร่างเดิม

เมื่อนางก้าวเข้ามาที่เรือน นางหลิ่วใบหน้ายิ้มแย้มปรี่เข้ามากุมมือนางไว้ “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านแม่นะ”

ติ้งเป่ยโหวรู้สึกอบอุ่นใจและมองไปทางนางหลิ่วอย่างขอบคุณ เขารีบร้อนพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ควรจะเรียกท่านแม่”

ไป๋ชิงหลิงย่อตัวทำความเคารพด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่ก็ไม่ได้เรียกนาง

นางหลิ่วรู้สึกเก้อเขิน ติ้งเป่ยโหวจึงกล่าวว่า “เจาเสวี่ยค่อนข้างขี้อาย คงต้องใช้เวลาสักระยะ นางถึงจะชิน ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับญาติผู้ใหญ่”

ติ้งเป่ยโหวแนะนำผู้คนในบ้านด้วยตัวเอง เริ่มต้นจากนางหลิ่วภรรยาของเขา ฮูหยินอาวุโส และตามด้วยลูกชายคนโตของฮูหยินอาวุโส

เขาเป็นคนพิการ เพราะเคยถูกรถม้าทับเมื่อครั้งยังหนุ่ม

เขารักษาตัวอยู่ที่บ้านมานานหลายปี หน้าตาของเขาหมดจด แม้แต่ผิวพรรณก็ขาวลออราวกับหญิงสาว แม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ยังคงดูอ่อนเยาว์กว่าคนในวัยเดียวกันถึงห้าหกปี

เขายิ้มอย่างอ่อนโยนให้ไป๋ชิงหลิง

ถัดมาเป็นลูกชายคนที่สองของฮูหยินอาวุโส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อาลักษณ์ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แต่เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ยังคงจับเจ่าอยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจนี้

ประกอบกับติ้งเป่ยโหวทำกิจการมีรายได้ให้ตระกูลไม่น้อย จวนติ้งเป่ยโหวจึงถือว่ามีฐานะที่ร่ำรวย นายท่านรองจึงไม่สนใจที่จะกระตือรือร้น

ฮูหยินรองมีลูกสาวสามคนและลูกชายหนึ่งคน ในส่วนของอนุทั้งสองนั้นไม่ได้ให้กำเนิดทายาท

ลูกสาวคนที่สามของฮูหยินอาวุโสและสามีต่างก็อาศัยอยู่ในจวนโหว แม้แต่ลูกก็เลี้ยงดูให้เติบใหญ่กันในจวน

ลูกสาวคนที่สี่ ได้ออกเรือนไปอยู่ในตระกูลที่ดี และไม่ค่อยได้ติดต่อกัน

ลูกชายคนเล็กของฮูหยินอาวุโสกลับเข้ากันได้ดีกับเจ้าของร่างเดิมของไป๋ชิงหลิง

นามของเขาคือไป๋อู้อี้ ซึ่งเดิมมีนามว่าไป๋เต้าอี้ แต่เพราะถูกเพื่อนฝูงล้อเลียน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋อี้!

แต่ฮูหยินอาวุโสไม่เห็นด้วย สุดท้ายจึงหาคำที่ออกเสียงใกล้เคียงมาแทนที่

เขาเป็นแม่ทัพ ในบรรดาลูกชายทั้งสามของฮูหยินอาวุโส เขาเป็นคนที่ได้เรื่องได้ราวที่สุด

เมื่อรับรู้ถึงความเป็นมาของไป๋อู้อี้ ไป๋ชิงหลิงรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่พบกันครั้งแรก

“เจ้าต้องเรียกข้าว่าอาสี่!” ไป๋อู้อี้เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ

ไป๋ชิงหลิงยิ้มตอบกลับและเปล่งเสียงออกมา “ท่านอาสี่!”

ใบหน้าของทุกคนพลันมืดทะมึนลง แววตาต่างแสดงออกถึงความประหลาดใจ แม้กระทั่งฮูหยินอาวุโสก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

เมื่อสักครู่ที่ติ้งเป่ยโหวแนะนำทุกคนให้ไป๋ชิงหลิงรู้จัก นางไม่ได้เอ่ยทักทายผู้ใดเลย แต่กลับเอ่ยทักทายไป๋อู้อี้

ไป๋อู้อี้มีความสุขมาก เขาดีใจเหมือนเด็กน้อย “เด็กคนนี้มีวาสนากับข้า อาสี่กลับมาที่เรือนฉืออวี้ในวันนี้ ไม่ทันได้เตรียมของรับขวัญให้เจ้า รอให้อาสี่มีเวลาว่างก่อน จะต้องหาของขวัญชดเชยให้เจ้าอย่างแน่นอน ไหน เรียกอาสี่อีกทีสิ”

เขาหยอกล้อนางเหมือนนางเป็นเด็ก

ไป๋ชิงหลิงยิ้ม “ทำไมท่านอาสี่จึงได้เหมือนเด็กนักเจ้าคะ เหมือนชงเอ๋อร์ลูกสาวของข้าเลย!”

มุมปากของไป๋อู้อี้บิดโค้งขึ้น

เขาได้รับการปฏิบัติเหมือนเด็กน้อยเสียแล้ว

แต่ทว่า ไป๋อู้อี้กลับรู้สึกสนุก “ข้าเป็นน้องคนสุดท้องในบ้าน ท่านแม่บ่นข้าทั้งวันว่าเหมือนเด็กน้อย แม้แต่เจ้าก็พูดเช่นนี้ หากไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ไหนเลยจะอยู่ร่วมกันได้”

ไป๋อู้อี้เป็นคนเดียวที่กล้าขัดแย้งกับฮูหยินอาวุโส แต่ก็เป็นคนที่นางโปรดปรานที่สุดเช่นกัน

คำพูดนี้ของเขา ทำให้ทุกคนที่เรือนฉืออวี้หัวเราะออกมา

ไป๋ชงเซิงกลับมองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ และท้ายที่สุด ดวงตาของนางก็จับจ้องอยู่ที่นายท่านใหญ่

นางพบบางอย่างที่ประหลาดมาก...

“เอาล่ะ เตรียมอาหารกลางวันได้” ฮูหยินอาวุโสสั่งการลงไป

ไป๋ชิงหลิงจูงมือไป๋ชงเซิงเดินเข้าไปในห้องทานอาหาร

ทุกคนหาที่นั่งของตัวเอง นางนั่งข้างๆ ติ้งเป่ยโหว ไป๋อู้อี้เจาะจงเลือกที่นั่งข้างๆ นาง และยังหยิบน่องไก่ชิ้นใหญ่ให้ไป๋ชงเซิงอีกด้วย

ไป๋ชงเซิงกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ

ระหว่างมื้ออาหาร ไม่มีใครพูดจากัน บรรยากาศเป็นไปด้วยดี

ทันใดนั้น ฮูหยินอาวุโสก็กล่าวขึ้น “เจาเสวี่ย ได้ยินว่าเจ้ารักษาโรคร้ายให้ไทเฮา ฝ่าบาททรงพระราชทานรางวัลให้เจ้าไม่น้อยเลย”

รางวัล...ในขณะที่คำสองคำนี้หลุดออกมา ไป๋ชิงหลิงก็มีความคิดอยู่ในใจแล้ว

นางรู้ดีว่า ที่นี่มีเพียงงานเลี้ยงที่หงเหมิน ไหนเลยจะหาเจตคติที่ดีจากฮูหยินอาวุโสได้

นางวางชามและตะเกียบลง แล้วจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก และตอบว่า “เจ้าค่ะ มีทองคำห้าร้อยตำลึง จวนขององค์หญิงเฟิ่งอวี้ ฝ่าบาทก็พระราชทานให้ข้าด้วย ยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดา รวมถึงโฉนดที่นา ของรางวัลเหล่านั้นข้ายังไม่ทันได้คำนวณ มันเยอะมากเจ้าค่ะ”

เมื่อฮูหยินอาวุโสได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็เป็นประกาย

ของพระราชทานตั้งมากมายขนาดนี้ สามารถนำมาแต่งสินเดิมให้หมิงอวี้ของนางได้ หากหมิงอวี้มีจวนเป็นของตัวเอง นางจะได้แยกมาอยู่อาศัยด้วยกันกับสามีของนาง มีที่ดิน เสื้อผ้าและอาหารเหลือเฟือ ก็ไม่จำเป็นต้องทนมองสีหน้าของแม่สามี

ไป๋หมิงอวี้ก็เผลอมองไปที่ไป๋ชิงหลิงโดยไม่รู้ตัว

สิ่งของพระราชทานเหล่านั้น นางเองก็พอได้ยินมาจากสตรีสูงศักดิ์อยู่บ้าง

ลูกสาวคนโตของนายท่านรอง ไป๋หมิงอวี้ อยู่ในวัยที่สมควรแก่การออกเรือนแล้ว แต่ตำแหน่งทางราชการของนายท่านรองนั้นไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตานัก ทว่า ฮูหยินรองและฮูหยินอาวุโสนั้นกลับมีวิสัยทัศน์ที่สูงส่ง พวกนางถูกใจจวิ้นอ๋องท่านหนึ่ง แต่ฮูหยินอาวุโสเกรงจะไม่สมฐานะ จึงคิดจะเตรียมสินเดิมไว้ให้ไป๋หมิงอวี้อย่างมั่งคั่ง มั่งคั่งจนทำให้บรรดาชายาของชินอ๋องต้องใจสั่น

ประจวบกับสิ่งที่ไป๋ชิงหลิงได้รับพระราชทานนั้นก็มากมายเหลือเกิน

“ท่านแม่ของเจ้าเป็นดูแลจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายภายในจวนโหว ของที่เจ้าได้รับพระราชทานมา ก็มอบให้ท่านแม่ของเจ้าจัดการดูแลแทนก็แล้วกัน รอจนกว่าท่านแม่ของเจ้าจะหาคู่ครองที่ดีให้เจ้า แล้วค่อยแต่งสินเดิมคืนให้เจ้า เจ้าเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง หากถือทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น เกรงว่าจะเป็นที่จับตามองของพวกหัวขโมย มันจะไม่ปลอดภัย” ฮูหยินอาวุโสกล่าวช้าๆ ด้วยท่าทีที่เมตตา

ติ้งเป่ยโหวหมดความรู้สึกเจริญอาหารทันที

“ท่านแม่ ของเหล่านั้นเป็นของเจาเสวี่ย ไม่มีเหตุผลใดที่จวนโหวของเราจะเข้าไปจัดการดูแลแทนนางนะ”

“ทำไมจะไม่มีเหตุผล!” ฮูหยินอาวุโสตบโต๊ะพร้อมตะคอกออกมาทันที “เจ้าไม่เคยดูแลเรื่องในบ้าน เจ้าไม่รู้ถึงความยากลำบากในการจัดการดูแล นางพาลูกมาอยู่อาศัยในจวน เสื้อผ้าอาภรณ์อาหารการกินต้องประหนึ่งลูกสาวคนโต เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งของเหล่านี้ต้องใช้จ่ายมากขนาดไหน ข้าแค่ให้แม่ของนางดูแลข้าวของแทนนางเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าละโมบโลภมากต้องการของพระราชทานเหล่านั้นของนางหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น