"เซิงเอ๋อร์ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า?" หัวใจของไป๋ชิงหลิงเต้นแรง
แม่นางหลิ่วก็คือฮูหยินของติ้งเป่ยโหว!
จากสถานะและตัวจนของนาง ถือว่านางเป็นผู้ให้กำเนิดร่างนี้และควรจะเรียกนางว่า "ท่านแม่"
คือ "ท่านแม่แท้ๆ"
ก่อนหน้านี้ที่เรือนฉืออวี้ไป๋ชิงหลิงเรียกนางว่า "ฮูหยินติ้งเป่ยโหว" เหตุผลก็เป็นเพราะ ฮูหยินโหวคนนี้เป็นคนที่บ้านเก่าของฮูหยินอายุโส แม้ว่านางจะแต่งงานกับติ้งเป่ยโหว แต่นางมักจะเชื่อฟังและเข้าข้างฮูหยินอายุโส
และมักทำตัวไม่ดีกับท่านพ่อของนาง
และตอนนี้คำพูดของไป๋ชงเซิงก็ทำให้ไป๋ชิงหลิงรู้สึกตกใจ
"ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลนะเจ้าคะ" ไป๋ชงเซิงยกนิ้วขึ้นและนับ "ตอนที่อยู่หน้าประตูเรือนฉืออวี้ นายท่านใหญ่ได้แอบชำเลืองมองแม่นางหลิ่วถึงสี่ครั้ง และตอนรับประทานอาหารก็ได้แอบชำเลืองมองถึงแปดครั้ง อันที่จริง เขาจะมองก็ไม่แปลก แต่หลังจากมองแล้ว......สายตาของเขาแปลกอย่างมาก"
ไป๋ชิงหลิงนั่งลงและตั้งใจฟัง
ไป๋ชงเซิงเลียนแบบท่าทีของนายท่านใหญ่ "เช่นนี้ไงเจ้าคะ......"
นางทำได้เหมือนมาก
ไป๋ชิงหลิงเห็นเข้าก็รู้เลยว่านางกำลังเลียนแบบท่าทางทั้งหมด
เป็นความเบื่อหน่าย ขมขื่น และเสียใจ!
หากไป๋ชงเซิงไม่ได้แสดงออกมาผิด การที่ติ้งเป่ยโหวชำเลืองมองแม่นางหลิ่วบ่อยและแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนั้น ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก
ความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมหลงเหลือให้นาง นายท่านติ้งเป่ยโหวคนนี้คนนี้ก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง เพียงแต่เพราะขาของเขาได้รับบาดเจ็บและอาศัยอยู่ในเรือนของตัวเองเป็นเวลานาน และมักไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอก
และมีฮูหยินอาวุโสเป็นผู้จัดการเรื่องอาหารการกินของเขา
"ชงเซิง ห้ามพูดออกไปให้คนอื่นฟังกับเรื่องที่เห็นในวันนี้" ทุกเรือนมักมีความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้ หากคนเหล่านั้นรู้ว่าถูกคนอื่นรู้เข้า เช่นนั้นจะต้องถูกกำจัดทิ้งอย่างแน่นอน
นางรู้สึกว่าเซิงเอ๋อร์อยู่ในจวนติ้งเป่ยโหวไม่ปลอดภัย และสิ่งที่สำคัญคือต้องให้จื่ออี ลี่ว์อีและชิงอีพานางไปอยู่คฤหาสน์ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้
ควรจะต้องจัดการคฤหาสน์ที่นั่นเสียแล้ว
"ข้าพูดกับท่านแม่เพียงคนเดียว ท่านแม่ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่ชอบจวนแห่งนี้ เราพาท่านปู่ไปอยู่บ้านอีกหลังของเราได้หรือไม่เจ้าคะ ที่นั่นเงียบสงบและไม่มีใครคอยรบกวน"
แม้ว่านางจะเป็นเพียงเด็กน้อย แต่กลับดูออกว่าคนของฮูหยินอาวุโสเหล่านั้นไม่ได้แยแสต่อติ้งเป่ยโหวเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะกล้าพูดถึงรางวัลพระราชทานที่ฝ่าบาทมอบให้นางขณะนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาหาร ฮูหยินอาวุโสช่างไม่มียางอายเอาเสียเลย
ไป๋ชิงหลิงลูบไล้เส้นผมของนาง "เซิงเอ๋อร์ยังเด็ก ต่อไปเจ้าจะรู้เองว่าเหตุใดแม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนโหวนี้ ข้าจะจัดการให้เจ้าไปอยู่อื่น"
"ท่านแม่จะส่งข้าออกไปจากจวนโหวอย่างนั้นหรือ?"
"รอให้แม่อยู่ที่นี่จนลงตัวแล้ว จากนั้นแม่จะรับเจ้ากลับมา คฤหาสน์ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้กับเราอยู่ไม่ไกลมากที่นี่ ข้าจะไปหาเจ้าทุกวัน" ไป๋ชิงหลิงพูดปลอบนาง
ไปชงเซิงยังรู้สึกเสียใจ แต่นางไม่อาจรบกวนไป๋ชิงหลิง นางจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ "เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่พูด"
อย่างไรเสียตอนที่ท่านแม่ไม่อยู่ นางก็ไปจวนท่านอ๋องหรงเพื่อไปเล่นกับเสวี่ยหลางและซื่อจื่อจิ่ง
ไม่นานไป๋ชิงหลิงก็เรียกจื่ออี ชิงอีและลี่ว์อีมา จากนั้นเดินทางไปยังจวนขององค์หญิงเฟิ่งอวี้เพื่อจัดการทำความสะอาด
ในขณะที่ไป๋ชิงหลิงกำลังจัดการเรื่องความปลอดภัยให้กับไป๋ชงเซิงนั้น ฮูหยินรองและไป๋หมิงอวี้กลับกำลังคิดหาแผนการอื่น
หลังจากที่ไป๋หมิงอวี้เดินกลับไปถึงเรือนก็รู้สึกหงุดหงิดใจมากขึ้น "ท่านแม่ เราจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? แต่กลับไม่พูดถึงพระชายาของท่านอ๋องอันชินเสียที คงเป็นเพราะตำแหน่งของท่านพ่อไม่สูงนัก และข้าว่าข้าจะอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ แต่ก็เป็นเพียงลูกสาวคนโตของท่านลุงใหญ่ ไม่เหมือนกับไป๋ชิงหลิงและไป๋จิ่นที่สามารถแต่งงานกับท่านอ๋องได้อย่างง่ายดาย"
สีหน้าของฮูหยินรองเคร่งขรึม และเห็นได้ชัดว่านางโกรธไป๋ชิงหลิงอย่างมาก
"ไป๋เจาเสวี่ยคนนี้ช่างผยองนัก ฮูหยินอาวุโสบอกเองว่าจะให้นางอยู่ในจวนโหว แต่นางกลับคิดอยากจะเก็บรางวัลพระราชทานนั้นไว้คนเดียว" ฮูหยินรองกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ
เมื่อไป๋หมิงอวี้เห็นแม่ของนางเป็นเช่นนั้น จึงได้กล่าวขึ้นมา "เช่นนั้นจวิ้นอ๋องทางนั้น ข้าจะไม่ติดต่อสัมพันธ์กับเขาอีกแล้ว เพื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่......"
"ไม่ได้!" ฮูหยินรองร้อนรนและรีบกล่าวขึ้นมา "จวิ้นอ๋องชอบเจ้าเช่นนั้น เรื่องสินสอดทองหมั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง ไป๋เจาเสวี่ยไม่มีทางเก็บไว้คนเดียวอย่างแน่นอน ข้าได้ยินมาว่า......ไป๋เจาเสวี่ยได้มีเรื่องบาดหมางกับหลานสาวของท่านผู้เฒ่าเสิ่น เจ้าสนิทกับคุณหนูสามของจวนเสิ่นไม่ใช่หรือ สองสามนี้เจ้าไปหาคุณหนูสามถามไถ่นางสิ"
"ท่านแม่จำไม่ได้หรือว่าคุณหนูสามตระกูลเสิ่นก็ชอบจวิ้นอ๋อง" ไป๋หมิงอวี้ไม่มีความสุข
แม้ว่านางจะไม่ใช่ลูกสาวของภรรยาเอกจวนโหว แต่ก็ได้รับการอบรมเลี้ยงดูและให้เกียรติเสมือนเป็นลูกของภรรยาเอก และทำให้นิสัยของนางเหมือนกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์
ไป๋หมิงอวี้แทบไม่อยากผูกมิตรกับคุณหนูสามตระกูลเสิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
ฮูหยินรองตบฝ่ามือของนางเบาๆ และกล่าวว่า "อวี้เอ๋อร์ ศัตรูของศัตรูถือเป็นเพื่อนของเรา ในเมื่อเราไม่สามารถจัดการกับไป๋เจาเสวี่ยได้ แต่คนของตระกูลเสิ่นสามารถทำได้ เจ้ารีบไปพูดกับคุณหนูสาม......"
ฮูหยินรองเข้าไปใกล้ไป๋หมิงอวี้และกระซิบ
เมื่อไป๋หมิงอวี้ได้ยินดังนั้นแววตาของนางก็เปล่งประกายและรีบพยักหน้า "ท่านแม่ ข้าจะไปหานางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ"
"รีบไปเถอะ"
วันนั้นเพิ่งจะเลยเวลารับประทานอาหารว่าง ไป๋หมิงอวี้เดินทางมาถึงเรือนชิงซิน และในมือของนางถือบัตรเชิญของจวนเสิ่นอยู่หนึ่งใบ "ท่านพี่ วันนี้ตอนเที่ยงคุณหนูสามตระกูลเสิ่นได้ชวนข้าไปดื่มชา ข้าได้ขอบัตรเชิญมาจากนางเพิ่มอีกหนึ่งใบ วันที่สามเดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินอาวุโสของตระกูลนาง วันนั้นจะมีคนจำนวนมากไปอวยพร ข้าคิดว่าท่านพี่เพิ่งจะมาถึงที่นี่ก็ควรจะไปหาเพื่อนใหม่บ้าง"
ไป๋ชิงหลิงเหลือบมองบัตรเชิญในมือและรู้สึกตลกขบขัน
ก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะคืนบัตรเชิญของตระกูลเสิ่นกลับไป และตอนนี้ไป์หมิงอวี้กลับนำบัตรเชิญนี้มาให้นางอีกหนึ่งใบ
วันที่สามนั้น หากนางไปที่จวนตระกูลเสิ่น เกรงว่าจะทำให้คนของตระกูลเสิ่นต้องคิดมาก
แต่ไป๋หมิงอวี้คงไม่ได้ขอบัตรเชิญมาให้นางอย่างไร้เหตุผล และคงไม่ได้ต้องการให้นางไปพบเจอเพื่อนใหม่จริงๆ อย่างที่พูดออกมา
ในความทรงจำของนาง ไป๋หมิงอวี้เป็นคนเห็นแก่ตัว นางนึกถึงแต่อนาคตของตัวเอง โดยไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นเลย
ในเมื่อไม่เคยนึกถึงคนอื่น เช่นนั้นนางจะใส่ใจอะไรกับการพบเจอเพื่อใหม่ของนาง เรื่องนี้จะต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่!
นางต้องการทำอะไร?
ไป๋ชิงหลิงรับมาและแสดงสีหน้าท่าทางขอบคุณ "ขอบคุณน้องหมิงอวี้"
เมื่อไป๋หมิงอวี้เห็นแววตาเคารพนับถือของนาง ในใจก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก
จึงได้แสดงสีหน้าพึงพอใจต่อไป๋ชิงหลิงอย่างมากเช่นกัน "ท่านพี่ไม่ต้องเกรงใจ เราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เช่นนั้นก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน"
ขณะนี้นางได้เห็นไป๋ชงเซิง จากนั้นจึงหยิบของเล่นที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา "มานี่สิ ข้าให้เจ้า"
"เซิงเอ๋อร์ รีบขอบคุณคุณหนูสามเร็วเข้า" ไป๋ชิงหลิงกล่าว
ไป๋ชงเซิงยื่นมือออกไปรับและกล่าวด้วยเสียงหวาน "ขอบคุณคุณหนูสามเจ้าค่ะ"
"เหตุใดยังเรียกคุณหนูสาม ตามศักดิ์แล้ว เจ้าควรจะเรียกข้าว่าน้า" ไป๋หมิงอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ไป๋ชงเซิงยิ้มและกล่าวว่า "ขอบคุณท่านน้าเจ้าค่ะ ข้าชอบกังหันที่ท่านมอบให้อย่างมาก"
ไป๋หมิงอวี้ยิ้ม "แต่เป็นเพียงของที่ไม่มีมูลค่าเท่าไรนัก กลับทำให้เจ้ามีความสุขมากเช่นนี้ ลูกของท่านพี่ช่างเลี้ยงง่ายเหลือเกิน ครั้งหน้าข้าจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับเจ้า"
ถึงตอนนั้นเกรงว่าเจ้าจะยิ้มไม่ออก แม่ของเจ้าและเจ้าจะได้ไสหัวออกไปจากจวนติ้งเป่ยโหว
"เช่นนั้นข้าจะรอวันที่ท่านน้ามอบของขวัญชิ้นนั้นให้กับข้าเจ้าค่ะ" ไป่ชงเซิงยิ้มอย่างไร้เดียงสา
ไป๋หมิงอวี้ไม่ได้พูดคุยนานและได้ลุกขึ้น "ท่านพี่ ข้าต้องกลับไปที่เรือนแล้ว หากท่านแม่รู้ว่าข้าแอบออกมาข้างนอกจะต้องถูกทำโทษอย่างแน่นอน"
"ข้าเดินไปส่งเจ้า" ไป๋ชิงหลิงเดินออกมาส่งนางออกจากเรือนชิงซิน
เมื่อไป๋หมิงอวี้เดินออกไปไกลแล้ว ไป๋ชงเซิงได้ยื่นกังหันในมือให้กับจื่ออี "เอาไปเผาทิ้งเสีย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...