ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 115

สรุปบท บทที่ 115 รอยสลักอยู่บนตัวของนาง: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น

บทที่ 115 รอยสลักอยู่บนตัวของนาง – ตอนที่ต้องอ่านของ ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น

ตอนนี้ของ ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น โดย พระจันทร์ขี้เมา ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายการเกิดใหม่ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 115 รอยสลักอยู่บนตัวของนาง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ไป๋ชิงหลิงรู้สึกเพียงว่าเย็นวาบช่วงบริเวณหน้าอก เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายถูกเขาถอดโยนทิ้งทีละชิ้น

เดิมนางก็สวมใส่บางอยู่แล้ว ไม่นานก็ถอดเสร็จ

ความร้อนวูบวาบกับความอับอายถาโถมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน มือทั้งสองที่ถูกเขามัดไว้ นางพยายามออกแรงเคลื่อนไหว

จึงทำให้เตียงมีเสียง“กุกกัก”ดังขึ้น

ซังจวี๋วิ่งมาหน้าประตู เรียกขึ้นว่า :“แม่นางจ้าวเสวี่ย”

การเคลื่อนไหวของไป๋จ้าวเสวี่ยหายไปในทันที

และเวลานี้ฝ่ามือของผู้ชายกอบกุมที่เอวของนาง และลากลงมาด้านล่าง !

ไป๋ชิงหลิงหายใจเข้าลึกๆ กล่าวกับซังจวี้ว่า“ไม่มีอะไรหรอก มียุง ข้าตบมันเสร็จก็จะพักผ่อนแล้ว”

เมื่อพูดจบ ซังจวี๋ก็ไป

ไป๋ชิงหลิงไม่กล้าทำอะไรเสียงดังแล้ว เพราะเกรงว่าคนรับใช้จะเข้ามาเห็น

เรือนชิงซินไม่เพียงแค่จัดคนของติ้งเป่ยโหว ท่านยายก็สนับสนุนบ่าวจำนวนหนึ่งด้วย ยังไม่นับทางด้านของแม่นางหลิ่วกับฮูหยินรองเลย

หรงเยี่ยกล้าหาญเกินไปแล้ว……

“อืม!”ทันใดนั้นเกิดความรู้สึกแสบร้อนออกมาจากหน้าอกทันที

ไป๋ชิงหลิงก้มศีรษะลงมอง ก็เห็นขาทั้งสองข้างของหรงเยี่ยนั่งคร่อมอยู่บนตัวนาง ในมือมีเข็ม แหวกที่ผิวหนังของนาง

สักพักหนึ่งก็สักพักหนึ่งอีก การเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก

เหมือนกำลังวาดลายอะไรบางอย่างบนร่างกายของนางเลย แต่….มันเจ็บมาก

“ท่านหยุดได้แล้ว มันเจ็บมาก !” ไป๋ชิงหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงกดดัน คละเคล้าไปด้วยเสียงร่ำไห้ กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม

นางกลับมาที่เฉาจิงเพื่ออะไรกัน คิดไม่ถึงว่าจะถูกชายผู้นี้รังแกจนเป็นแบบนี้

หรงเยี่ยไม่ได้สนใจนาง เขากดที่ไหล่ของนาง ตั้งอกตั้งใจทิ่มแทงบนร่างของนาง

ไป๋ชิงหลิงไม่กล้าร้อง ทำได้เพียงอดกลั้นไว้

แต่เขาทำอย่างรวดเร็วมาก ไม่ได้ให้นางเจ็บนานมากเท่าไหร่

เขาทิ้งเข็มที่อยู่ในมือ แล้วปลดเชือกที่มัดมือสองข้างนางออก

มือทั้งสองข้างไป๋ชิงหลิงเป็นอิสระ นางเลยหยิบมีดผ่าตัดออกมาจากห้วงมิติเวลา แล้วแทงไปทางหรงเยี่ย

แต่มีดของนางยังไม่ได้แทงลง ฝ่ายตรงข้ามก็คว้าหมับที่ข้อมือของนางไว้ จากนั้นก้มศีรษะลงจูบสัมผัสที่ริมฝีปากนาง

อีกครั้งที่นางยอมจำนนต่อเขา……

อารมณ์ของเขาเดือดดาล เหี้ยมโหด มันอัดแน่นรวมกันอยู่ในจูบนี้ เขาย่ำยีริมฝีปากของนางอย่างรุนแรง

“อือ…..”เสียงครางของนางคลอเคลียไปด้วยเสียงร่ำไห้

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ตอนที่นางรู้สึกว่าจะขาดอากาศหายใจ เขาถึงได้ผละออกจากริมฝีปากนาง

แสงพระจันทร์นวลผ่องสาดส่องที่ใบหน้าเขา และเขากำลังมองนางด้วยสายตาที่ปรารถนาและดุดัน

นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด กล่าวขึ้นว่า“ต่อให้ท่านจะบังคับข้าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางตกลงกับท่าน ชาตินี้ ชาติหน้า ข้าล้วนไม่มีทางแต่งกับท่าน”

“เช่นนั้นเจ้าอย่าได้คิดที่จะแต่งออกไปเลย”หรงเยี่ยตอบกลับอย่างเยือกเย็น

ไป๋ชิงหลิงก้มศีรษะลงมองหน้าอกของตนเอง มีรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสวาดสักอยู่ตรงนั้น หากมองดูดีๆอย่างละเอียด จะเห็นสองคำนี้ชัดเจน!

หรงเยี่ย !

ไป๋ชิงหลิงโกรธจนตัวสั่นระริก…….

คิดไม่ถึงว่าเขาจะสลักชื่อเจาบนตัวของนาง

“ข้าก็นับว่าเป็นแม่ชี ก็ยังดีกว่าแต่งกับผู้ชายที่อำมหิตเลือดเย็นอย่างท่าน”

“เจ้าลองดูสิ”ลมหายใจที่อันตรายของเขาจู่โจมขึ้นมา

ไป๋ชิงหลิงตัวสั่นระริก

เวลานี้ ได้ยินหรงเยี่ยกล่าวอย่างเยือกเย็นขึ้นว่า“ข้าก็จะเอาไฟ เผาวัดวาอารามแม่ชีให้วอดวายเลย”

ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านจากฝ่าเท้าถึงหัวใจของนาง

นางรู้ว่าเขากล้าเผาวัดวาอารามแม่ชี ก็เหมือนกันกับที่เขาไม่ไว้หน้าฮองเฮาฟาดตีเสิ่นโหรวเม่ยนั่นแหละ

หรงเยี่ยมองนางที่ตื่นตกใจ เลยเอื้อมมือมาลูบสัมผัสใบหน้าของนาง กล่าวขึ้นว่า“เป็นเด็กดี ทำสิ่งที่เจ้าควรจะทำตอนนี้ให้ดี เป็นแม่ชีมีอะไรดี โกนผมอันนุ่มลื่นนี้ อัปลักษณ์แค่ไหนกัน!”

นางเดินออกมาจากในเรือนอย่างสง่างาม

ไป๋ชิงหลิงก้มลงกล่าวกับไป๋ชิงเซิงว่า “เซิงเอ๋อร์ รีบทำความเคารพองค์หญิงเร็วเข้า”

“ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพหรอก “หลวนอี๋ยิ้มเล็กน้อย และกล่าวรั้งไว้ สีหน้ามีความรู้สึกผิดขอโทษกล่าวว่า “ท่านพี่หญิงไป๋ เสด็จแม่ข้า….”

“องค์หญิง เรื่องที่ไม่ดีเหล่านั้นมันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแล้วเพคะ “ผ่านเรื่องของเสิ่นโหรวเม่ยมา นางก็ชอบองค์หญิงท่านนี้เข้าแล้ว

เป็นอย่างที่ไทเฮาพูด องค์หญิงหลวนอี๋เป็นคนตรงไปตรงมาเหมือนกับนางมาก

ไป๋ชิงหลิงเลยไม่ได้เย็นชา เหินห่างเหมือนครั้งแรกแล้ว

นางเดินไปจับมือของหลวนอี๋

หลวนอี๋ปลื้มใจมากที่ไป๋ชิงหลิงโอบอ้อมอารีเอาใจใส่ ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านพี่หญิงไป๋ ท่านดีมาก ท่านพี่เจ็ดของข้าดูคนไม่ผิด ชาตินี้ข้ายอมรับพี่สะใภ้เจ็ดแค่ท่านคนนี้”

ความรู้สึกบริเวณมุมปากของไป๋ชิงหลิงชะงักงันทันที

เรื่องนี้อย่างเดียวที่ทำให้ไป๋ชิงหลิงปวดหัว

ไม่เสียแรงเลยที่หรงเยี่ยกับหลวนอี๋เป็นพี่น้องกันจริงๆ

นางยิ้มแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลบเลี่ยงหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับหรงเยี่ย “เป็นองค์หญิงที่โอบอ้อมอารี หม่อมฉันได้เป็นสหายกับองค์หญิง ถือเป็นความโชคดีสามชาติของหม่อมฉันเลยเพคะ”

“อยู่ต่อหน้าข้า ท่านไม่ต้องพูดหม่อมฉันหรอก ท่านเป็นพี่สะใภ้เจ็ดของข้าในอนาคต สามารถเรียกข้าว่าหลวนอี๋เหมือนท่านพี่ของข้าได้”

ไป๋ชิงหลิง:“…….”

เหตุใดเด็กคนนี้พูดถึงแต่พี่ชายนะ

นางจะพูดคุยกับนางอย่างสบายใจได้อย่างไร

เวลานี้ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาละ

หรงเยี่ยเดินออกมานอกเรือนอย่างสบายใจ ดูไม่ออกเลยว่าคนผู้นี้มีบาดแผล

นัยน์ตาเขาจ้องมองที่ไป๋ชิงหลิง พร้อมกล่าวสั่งว่า“ลงไปเตรียมอาหารเช้าเถิด”

พ่อบ้านฉีตอบรับ แล้วไปจัดเตรียมมื้อเช้า สี่ซ่านนางกำนัลขององค์หญิงเดินเข้ามาในเรือนอย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นว่า “องค์หญิง คุณหนูสามตระกูลเสิ่นเชิญองค์หญิงไปเที่ยวทะเลสาบเพคะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น