ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 116

ไป๋ชิงหลิงเงยหน้าขึ้นสบตากับนางกำนัลด้วยความสงสัย เพราะนางมีความรู้สึกว่า ชื่อเรียกนี้...มันฟังดูคุ้นหูนางยังไงชอบกล

แล้วจู่ ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไป๋หมิงอวี้เพิ่งจะไปขอเทียบเชิญงานวันเกิดของยายเสิ่นจากคุณหนูสามผู้นี้มาให้นาง

“ที่ข้าออกมานอกวังหลวงในวันนี้ หาได้ออกมาเที่ยวเล่นแต่อย่างใด ฉะนั้นเจ้าจงเร่งไปแจ้งแก่คุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นเสียว่า ข้าจักนัดพบนางอีกครั้งในภายหลัง” องค์หญิงหลวนอี๋กล่าวสั่งการแก่นางกำนัล

“เพคะองค์หญิง” สี่ซ่านโค้งคำนับ ก่อนจะถอยกลับออกไปนอกสวนหย่อมทันทีอย่างรู้งาน

แล้วองค์หญิงหลวนอี๋ก็หันกลับมาบ่นใส่ไป๋ชิงหลิงว่า “คุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นผู้นี้ กล่าวว่าจักพาข้าไปเล่นน้ำในทะเลสาบ โดยแลกกับการที่ข้าต้องพานางไปเจอกับจวิ้นอ๋องน้อยให้ได้”

ไป๋ชิงหลิงได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกงุนงงเข้าไปใหญ่

องค์หญิงหลวนอี๋จึงกล่าวต่อไปแบบยิ้ม ๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจักเล่าอะไรตลก ๆ ให้ท่านฟัง”

พูดจบนางก็โผเข้ากอดต้นแขนของไป๋ชิงหลิง และกระซิบข้างหูไป๋ชิงหลิงด้วยความตื่นเต้นว่า “เรื่องที่จวิ้นอ๋องน้อยไปตกหลุมรักแม่หญิงนางหนึ่งในจวนติ้งเป่ยโหวนั้น… พี่ไป๋เคยได้ยินมาบ้างแล้วหรือยัง?”

“ผู้ใดกัน?” ไป๋ชิงหลิงเบิกตากว้าง

ก่อนจะหันมองไปทางหรงเยี่ยแบบไม่รู้ตัว

แต่หรงเยี่ยกลับคว้าแขนเสื้อของหลวนอี๋ และดึงตัวหลวนอี๋ให้ออกห่างจากไป๋ชิงหลิงทันทีด้วยความไม่พอใจ

หลวนอี๋เห็นดังนั้นจึงรีบตะคอกกลับมาทันทีด้วยความโมโหว่า “พี่ชายเจ็ด เลิกฉุดกระชากข้าแบบนี้เสียที ข้ามิใช่เด็ก ๆ แล้วหนา”

“ข้าหิวแล้ว” หรงเยี่ยพูดพลางขยับเข้าไปยืนข้างกายไป๋ชิงหลิง ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “และอีกเดี๋ยวข้าก็ต้องกินยาด้วย”

หลวนอี๋จ้องมองหรงเยี่ยด้วยความเดือดดาล ก่อนจะต้องข่มความเดือดดาลนั้นไว้ภายใน เพื่อไม่ให้เกิดการขัดจังหวะภาพหวานที่กำลังฉายอยู่เบื้องหน้า

“หากมิใช่เพราะอาการบาดเจ็บของท่านพี่ล่ะก็ ท่านพี่ได้โดนดีแน่! เราเข้าไปคุยกันต่อข้างในเถิดพี่ไป๋” หลวนอี๋กล่าว ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดแขนอีกข้างหนึ่งของไป๋ชิงหลิงเหมือนเด็กน้อย

ซึ่งมันทำให้ไป๋ชิงหลิงต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

เพราะความน่ารักน่าชังขององค์หญิงหลวนอี๋นั้น น่าเอ็นดูยิ่งกว่าเซิงเอ๋อร์ผู้เป็นบุตรสาวของนางเสียอีก

หลังจากที่พวกเขาก้าวเข้ามาในห้องอาหาร หลวนอี๋ก็เริ่มบรรเลงเรื่องราวของคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นและแม่หญิงนางหนึ่งในจวนติ้งเป่ยโหวต่อทันที

“หญิงที่เสด็จป้ากำลังหมายตา ก็คือคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นผู้นั้น แต่หญิงที่สามารถครองใจจวิ้นอ๋องน้อยได้ กลับเป็นบุตรสาวของนายท่านรองแห่งจวนติ้งเป่ยโหว ผู้ซึ่งมีนามว่าไป๋…”

“ไป๋หมิงอวี้!” ไป๋ชิงหลิงโพล่งออกมาโดยอัตโนมัติ

หลวนอี๋จึงรีบพยักหน้าตอบรับ และกล่าวต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ใช่แล้วล่ะ นางมีนามว่า ไป๋หมิงอวี้ และถึงแม้ว่าเสด็จป้าจักมิค่อยชอบใจนางสักเท่าไร แต่เสด็จป้าก็ปฏิเสธมิได้จริง ๆ ว่า จวิ้นอ๋องน้อยมีใจให้นางมากแค่ไหน ยิ่งคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นมาหลงใหลจวิ้นอ๋องน้อยเสียจนหัวปักหัวปำ มันจึงเป็นเหตุให้คุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นและไป๋หมิงอวี้มิค่อยชอบหน้ากันตั้งแต่แรกเห็น”

อ้ะ…

ไป๋ชิงหลิงตกตะลึงกับเรื่องราวทั้งหมดที่องค์หญิงหลวนอี๋ทรงกล่าวมา

ก่อนจะหวนนึกถึงเทียบเชิญที่นางเพิ่งจะได้มาจากไป๋หมิงอวี้

ทั้ง ๆ ที่ไป๋หมิงอวี้กับคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นนั้น มิค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไร…

“พวกนางมิค่อยจักลงรอยกันหรือเพคะ?” ความพิลึกพิลั่นที่ไป๋ชิงหลิงสัมผัสได้ ทำให้นางเริ่มอยากรู้ยิ่งนัก ว่าไป๋หมิงอวี้กำลังคิดจะทำสิ่งใดอยู่?

“ก็ใช่น่ะสิพี่ไป๋ 2 คนนั้นจักไปญาติดีกันได้อย่างไร?” หลวนอี๋ตอบกลับ ก่อนจะกล่าวต่อไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพียงแค่เจอหน้ากัน ก็เป็นต้องเขม่นใส่กันทุกครา ราวกับว่ามิอาจจักอยู่ร่วมโลกกันได้”

“แปลกจริง ๆ!” ไป๋ชิงหลิงวางตะเกียบลงกับโต๊ะ ในขณะที่หรงเยี่ยกำลังตักโจ๊กเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

ในขณะที่หลวนอี๋นั้นเอาแต่กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย “มีสิ่งใดน่าแปลกงั้นหรือพี่ไป๋? พวกนางก็เป็นแค่เพียงศัตรูคู่แค้น ที่คนหนึ่งอยู่ได้ด้วยความรักของจวิ้นอ๋องน้อย ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นอยู่ได้ด้วยความเอ็นดูของเสด็จป้า แต่ข้าว่าสุดท้ายแล้ว... จวิ้นอ๋องน้อยก็คงได้ร่วมหอลงโรงกับนางทั้งสองนั่นแหละ”

“ก็ถูกขององค์หญิงนะเพคะ ที่ทั้ง 2 คนนั้นจักเป็นศัตรูคู่แค้นต่อกัน แต่ว่า…” ไป๋ชิงหลิงเว้นช่วง ก่อนจะหยิบเทียบเชิญที่นางได้จากไป๋หมิงอวี้ขึ้นมา “เมื่อวานนี้ น้องหมิงอวี้เพิ่งจักไปนั่งดื่มชายามบ่ายกับคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่น เพื่อขอเทียบเชิญงานเลี้ยงฉลองของยายเสิ่นมาให้หม่อมฉันเพคะ”

“ปั่ก!” ถั่วลิสงที่หลวนอี๋เพิ่งจะคีบขึ้นมาเมื่อครู่ต้องกระเด็นกระดอนลงกับพื้นไปทันที…

“เป็นไปมิได้ 2 คนนั้นจักไปนั่งดื่มชาด้วยกันได้อย่างไร... หนำซ้ำคุณหนูสามยังยอมมอบเทียบเชิญให้กับไป๋หมิงอวี้ด้วยเนี่ยนะ เป็นไปมิได้!”

“ปึง!”

หรงเยี่ยวางตะเกียบลงกับโต๊ะด้วยความโมโห

จนไป๋ชิงหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ต้องพาลมึนงงไปกับท่าทางของเขาด้วย

“ข้ากินอิ่มแล้ว หากเจ้ากินเสร็จเมื่อไร ก็อย่าลืมเข้าไปเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ข้าด้วยล่ะ”

พูดจบ หรงเยี่ยก็เดินสับเท้าออกจากห้องอาหารไปทันที

หลวนอี๋มองตามหลังพี่ชายด้วยความงุนงง ก่อนจะหันมาพูดกับไป๋ชิงหลิงอย่างจีบปากจีบคอว่า “พี่ชายเจ็ดหนาพี่ชายเจ็ด… แม้นเขาจักมิหือมิอือกับเรื่องของคนอื่น แต่ข้าก็พอจักดูออกอยู่หรอกนะ ว่าเขาให้ความสนใจกับพี่ไป๋มากแค่ไหน”

“...” ไป๋ชิงหลิงนิ่งเงียบด้วยความงุนงง

เพราะบทสนทนาระหว่างนางกับองค์หญิงหลวนอี๋เมื่อครู่ มันมีแต่เรื่องของไป๋หมิงอวี้กับคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นทั้งนั้น… มิเห็นจักมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องหรงเลยสักนิด…

“แต่พี่ชายเจ็ดคงจักมิเสด็จไปร่วมเฉลิมฉลองในงานวันเกิดของยายเสิ่นหรอก” หลวนอี๋พูดพลางถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงค่อย ๆ ว่า “และอันที่จริง ข้าเองก็มิอยากให้พี่ชายเจ็ดกับลูกพี่ลูกน้องต้องมาแตกคอกันเช่นนี้ด้วย… ช่างมันเถอะ ข้ามิพูดถึงเรื่องพวกนี้ให้ปวดหัวเล่นดีกว่า หากพี่ไป๋เปลี่ยนผ้าพันแผลให้พี่ชายเจ็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ไป๋ออกไปเดินเล่นในตลาดเป็นเพื่อนข้านะ?”

“ได้สิเพคะ!” ไป๋ชิงหลิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหลังไป๋ชงเซิง แล้วพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่ที่เราก้าวเข้ามาในเฉาจิง หม่อมฉันเองก็ยังมิได้พาเซิงเอ๋อร์ออกไปเปิดหูเปิดตาเลยเพคะ”

“ขอข้าไปด้วยนะขอรับท่านแม่” หรงจิ่งหลินกล่าวขึ้น ทั้ง ๆ ที่ข้าวในปากยังคงอัดแน่นอยู่เต็มกระพุ้งแก้ม

แต่ยิ่งหลวนอี๋ได้ยินเช่นนั้น มันก็ยิ่งทำให้นางได้ใจมากขึ้นไปอีก “ปากหวานเหมือนกันนี่ จิ่งหลิน…”

ไป๋ชิงหลิงจึงรีบแย้งขึ้นทันทีด้วยความเขินอายว่า “องค์หญิง… หากใครมาได้ยินคุณชายจิ่งเรียกขานหม่อมฉันเช่นนั้น มันจักมิเหมาะสมเอานะเพคะ…”

“ไม่เหมาะสมอย่างไรกันเล่า?” หลวนอี๋เอ่ยถาม ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวจิ่งหลิน แล้วกล่าวต่อไปว่า “ข้าว่าดีเสียอีก เพราะมิช้ามิเร็ว จิ่งหลินก็ต้องเรียกขานพี่ไป๋เช่นนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นให้เขาฝึกเรียกเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แบบนี้… มันก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ? เซิงเอ๋อร์เองก็เหมือนกัน ต่อจากนี้เจ้าต้องเรียกขานข้าว่าเสด็จอา และเดี๋ยวอาจักซื้อขนมกับของเล่นให้เจ้าเยอะ ๆ เลย”

“ได้หมดนั่นเลยหรือเพคะเสด็จอา?” ไป๋ชงเซิงถามกลับด้วยแววตาเปล่งประกาย

ในขณะที่ไป๋ชิงหลิงนั้นเริ่มจะนั่งไม่ติดเพราะความขวยเขิน

“เซิงเอ๋อร์ หากเจ้าอยากได้สิ่งใด แม่จักเป็นคนหาซื้อให้เจ้าเอง อย่าได้รบกวนองค์หญิงท่านเลย” ไป๋ชิงหลิงกล่าวด้วยความร้อนรน

แต่ไป๋ชงเซิงกลับฉีกยิ้มกว้าง แล้วตอบกลับนางไปว่า “แต่เสด็จอาองค์หญิงจักทรงซื้อให้เองเลยนะเจ้าคะท่านแม่”

“เสด็จอาองค์หญิงงั้นรึ!” หลวนอี๋พูดพลางหัวเราะด้วยความขบขัน “ข้าชอบชื่อนี้ เรียกข้าว่าเสด็จอาองค์หญิงนั่นแหละนะ เซิงเอ๋อร์”

“เพคะเสด็จอาองค์หญิง” ไป๋ชงเซิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

แต่ถึงกระนั้น ไป๋ชิงหลิงก็ไม่กล้าจะอยู่เที่ยวเล่นในเฉาจิงนานนัก

เพราะถึงอย่างไร เป้าหมายหลักของนางก็หาได้อยู่ในเฉาจิงแห่งนี้ไม่

ดังนั้นเมื่อนางสะสางเรื่องราวทุกอย่างในเฉาจิงเสร็จสิ้นแล้ว นางจึงกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเซียนไหลทันที

ก่อนจะเจียดเวลาในช่วงกลางเดือนออกเยี่ยมเยีอนผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบชนบท เพื่อช่วยรักษาผู้ไข้ในดินแดนที่ค่อนข้างจะห่างไกลจากความเจริญ

แต่ในช่วงปลายเดือน นางก็ยังต้องเดินทางไปยังตำหนักฮุ่ยหนิง เพื่อเฝ้าดูอาการของท่านอ๋องหรงอย่างใกล้ชิด

เนื่องจากไทเฮาฮุ่ยยังคงเป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บของท่านอ๋องหรง จนต้องขอให้ไป๋ชิงหลิงเข้ามาคอยดูแลพระอาการของท่านอ๋องหรงอย่างใกล้ชิดนับแต่นั้น

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 3 เดือน 3 ในปัจจุบัน…

“ท่านพี่ นี่เป็นชุดผ้าซาตินที่ท่านป้าเพิ่งจักส่งมาให้ข้า แต่เผอิญว่าตัวข้าเองก็เพิ่งจักซื้อชุดใหม่มาเหมือนกัน ข้าก็เลยถือโอกาสนำมันมาเป็นของขวัญให้กับท่านพี่เสียเลย”

ไป๋ชิงหลิงจึงหันมองไปยังชุดผ้าซาตินดังกล่าว

ก่อนจะพบว่ามันคือชุดผ้าซาตินที่มีงานเย็บละเอียดอ่อนยิ่ง แถมดอกเหมยที่ถูกปักอยู่บนแขนเสื้อ ยังเผยให้เห็นถึงความประณีตที่พบได้ยากอีกด้วย

และที่สำคัญ ตัวผ้าซาตินยังเป็นสีฟ้าน้ำทะเลแบบที่นางโปรดปรานด้วยอีกต่างหาก

แต่ถึงกระนั้น…

ไป๋ชิงหลิงก็อดคิดถึงสิ่งที่องค์หญิงหลวนอี๋ได้กล่าวกับนางไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อนไม่ได้จริง ๆ…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น