ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 117

ศัตรูคู่แค้นที่มิอาจญาติดีกันได้ง่าย ๆ ก็คือ "ศัตรูหัวใจ"

และถ้าการที่ไป๋หมิงอวี้ชอบพอกับจวิ้นอ๋องน้อย

ทั้ง ๆ ที่คุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นเองก็หลงใหลในตัวจวิ้นอ๋องน้อยอยู่นั้น มันจะไม่พิสดารไปหน่อยหรือ...ที่พวกนางทั้ง 2 จะมานั่งร่วมโต๊ะดื่มชายามบ่ายด้วยกันได้? แถมคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่น ยังยินยอมให้ศัตรูคู่แค้นไปร่วมงานเลี้ยงฉลองถึงบ้านด้วยอีกต่างหาก

นี่มันไม่ปกติแล้ว…

ไป๋ชิงหลิงเริ่มเห็นภาพบางอย่างชัดเจนขึ้น แต่นางก็ยังอยากจะเกาะขอบสนามดูต่อไปว่า ไป๋หมิงอวี้จะทำอย่างไรกับคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่น

และถ้าหากว่าชุดผ้าซาตินชุดนี้มีเอี่ยวกับแผนการของไป๋หมิงอวี้ด้วยแล้วนั้น ไป๋ชิงหลิงเองก็ไม่รู้สึกรังเกียจนัก เพราะสีฟ้าน้ำทะเลบนชุดผ้าซาตินนี้ มันถูกตาต้องใจนางเป็นที่สุด

“ขอบใจนะจ๊ะ” ไป๋ชิงหลิงพูดจบ จื่ออีก็เข้าไปรับชุดผ้าซาตินดังกล่าวมาไว้ในมือทันทีอย่างรู้งาน

“เช่นนั้น ข้าออกไปรอด้านนอกนะจ๊ะ อีกเดี๋ยวเราจักได้ไปที่จวนตระกูลเสิ่นพร้อม ๆ กันเลย” ไป๋หมิงอวี้ตอบกลับด้วยความเบิกบานใจ

“เช่นนั้น พี่ต้องขอโทษด้วยหนา ที่ทำให้เจ้าต้องคอย” ไป๋ชิงหลิงตอบกลับไปแบบยิ้ม ๆ

“มิเป็นไรหรอกจ้ะ ยังเหลือเวลาอีกโข และอากาศในวันนี้ก็เย็นจัดจนน่าประหลาด สวมเสื้อหนา ๆ ไว้หน่อยก็ดีเจ้าค่ะท่านพี่” ไป๋หมิงอวี้กล่าวอย่างเป็นมิตร

“จ๊ะ ขอบใจเจ้ามากนะ ที่เป็นห่วงพี่” ไป๋ชิงหลิงกล่าว

ไป๋หมิงอวี้จึงพูดทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้น ข้ามิรบกวนเวลาแต่งหน้าทำผมของท่านพี่แล้วล่ะ”

“จ๊ะ ซังจวี๋… พาคุณหนูสามไปนั่งพักผ่อนก่อนเถิด”

“เจ้าค่ะ” พูดจบ ซังจวี๋ก็พาไป๋หมิงอวี้ไปนั่งรอในห้องข้าง ๆ ทันที

แต่พอไป๋หมิงอวี้เดินจากไปได้ไม่นาน จื่ออีก็หันกลับมากระซิบถามไป๋ชิงหลิงทันทีว่า “แม่นาง คุณหนูสาม… เป็นปกติกับแม่นางแล้วจริง ๆ หรือเจ้าคะ?”

ท่าทีอ่อนน้อมของไป๋หมิงอวี้ที่มีต่อไป๋ชิงหลิง ยังคงทำให้จื่ออีอดสงสัยไม่ได้

แถมจื่ออียังสังเกตเห็นด้วยว่า การกระทำของไป๋หมิงอวี้เมื่อครู่นั้น ดูผิดธรรมชาติเกินกว่าจะเป็นไป๋หมิงอวี้คนเดิม

แต่ไป๋ชิงหลิงกลับเหลือบมองชุดผ้าซาตินชุดนั้น แล้วตอบกลับจื่ออีไปว่า “วันนี้ข้าจักพาซังจวี๋และซวงเหมยไปที่จวนตระกูลเสิ่นกับข้า ส่วนเจ้า... แค่คอยอยู่เป็นเพื่อนเซิงเอ๋อร์ที่นี่ก็พอ”

“เจ้าค่ะ” จื่ออีพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะช่วยแต่งหน้าทำผมให้กับไป๋ชิงหลิงต่อไป

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วโมง

เมื่อหิมะที่ตกหนักในตอนต้นชั่วโมงเริ่มซาลง

บรรดาบ่าวไพร่ในจวนจึงรีบพากันออกมาตักหิมะให้พ้นทางทันที

เมื่อรถม้าแล่นเข้ามาถึงหน้าประตูจวนตระกูลเสิ่น ไป๋หมิงอวี้ก็พาไป๋ชิงหลิงเข้ามาในงาน ก่อนจะพูดกับไป๋ชิงหลิงว่า “ท่านพี่ บัดนี้ท่านป้าและท่านแม่ของข้าคงจักมาถึงจวนตระกูลเสิ่นกันหมดแล้ว ข้าต้องขอเข้าไปทักทายท่านย่าก่อนสักคำ จักได้มิมีผู้ใดมาติติงพวกเราได้”

“ได้สิ” ไป๋ชิงหลิงพยักหน้าตอบรับ

“เช่นนั้น ท่านพี่รอข้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ หากเราแยกกันเดิน อาจจักพลัดหลงกันได้” ไป๋หมิงอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ซึ่งไป๋ชิงหลิงเองก็ตอบกลับไปอย่างว่าง่ายเช่นกันว่า “เจ้าวางใจเถิด พี่มิกล้าเดินเพ่นพ่านไปไหนแน่นอน เจ้ารีบไปรีบกลับก็แล้วกันนะ”

ไป๋หมิงอวี้จึงรีบหันหลังเดินจากไปทันทีด้วยความพึงพอใจ

หลังจากที่ไป๋หมิงอวี้เดินจากไปได้ไม่นาน ไป๋ชิงหลิงก็เดินเข้าไปในศาลาข้าง ๆ สวนหย่อม

ซึ่งมันเป็นศาลาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนจนแลดูสะอาดตา

แต่แล้วจู่ ๆ ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในศาลาเดียวกันอย่างตั้งใจ

และเมื่อไป๋ชิงหลิงได้สบตากับเขา นางก็พบว่าชายหนุ่มผู้นี้ มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาพอ ๆ กับท่านอ๋องหรงเลยก็ว่าได้

ต่างกันตรงที่ผิวขาวเนียนละเอียดของชายหนุ่มผู้นี้ ช่างลับกับรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นบนใบหน้าของเขาได้อย่างลงตัว

แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับเอาแต่จ้องมองไป๋ชิงหลิง

จนไป๋ชิงหลิงต้องรีบก้มดูเสื้อผ้าหน้าผมของตัวนางเองด้วยความสับสน ก่อนจะหันไปสบตากับซังจวี๋และซวงเหมยด้วยความสงสัยว่า

นางมีสิ่งใดที่แลดูผิดแปลกไปงั้นหรือ?

“แม่นางคือ...เจาเสวี่ย พี่สาวของหมิงอวี้ใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

และเมื่อไป๋ชิงหลิงได้ยินเช่นนั้น เสียงในหัวของนางก็ดังแทรกขึ้นมาทันทีว่า…

เขาผู้นี้ คือจวิ้นอ๋องน้อยนี่นา!

“ถูกแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงหลิงตอบกลับ ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วถามกลับไปว่า “แล้วคุณชายคือ…”

“แม่นางจักเรียกขานข้าว่าจวิ้นอ๋องน้อยก็ได้ แต่อีกหน่อย...ข้าเองก็คงต้องเรียกขานแม่นางว่า ท่านพี่ เช่นเดียวกับที่หมิงอวี้เรียกขานท่าน” จวิ้นอ๋องน้อยตอบกลับด้วยความตื่นเต้น

และทันทีที่จวิ้นอ๋องน้อยพูดจบ เขาก็ยื่นตะเกียงเล็ก ๆ ให้กับไป๋ชิงหลิง แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้ หมิงอวี้ตั้งใจจักนำมันมาให้ท่าน แต่ข้าเห็นว่าที่เท้าของนางมีรอยถลอกจากรองเท้านิดหน่อย ข้าจึงอาสานำตะเกียงอังมือนี้มาให้แทน รับไปเถิดขอรับ ท่านพี่”

ไป๋ชิงหลิงชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เหตุการณ์นี้มันดูแปลก ๆ ยังไงพิกล!

นี่ไป๋หมิงอวี้... คิดจักทำอะไรกันแน่

แล้วที่นางกล้าปล่อยจวิ้นอ๋องน้อยมาหาเราเช่นนี้ นางมิกลัวว่า…

“จวิ้นอ๋องน้อยอยู่ทางนี้เจ้าค่ะ คุณหนูสาม” จู่ ๆ เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน

จนไป๋ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

แล้วคุณหนูสามที่หญิงสาวผู้นั้นเรียกขาน

ก็กำลังยืนมองมาที่จวิ้นอ๋องน้อยกับนางด้วยสายตาเย็นชา และไร้ซึ่งความเป็นมิตรจนนางสัมผัสได้

ซึ่งคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นในตอนนี้ ก็กำลังอยู่ในชุดคลุมตัวใหญ่ที่มีขนสุนัขจิ้งจอกปักอยู่รอบ ๆ ปกคอเสื้อ จนทำให้ใบหน้าของนางแลดูเรียวเล็กและน่าทะนุถนอมมากขึ้นไปอีก

แต่เมื่อไป๋ชิงหลิงได้สติกลับมา นางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันทีว่า ตะเกียงอังมือที่จวิ้นอ๋องน้อยนำมาให้นาง ต้องเป็นแผนของไป๋หมิงอวี้แน่!!!

นี่มันมิใช่เรื่องบังเอิญ! เพราะรองเท้าคู่โปรดที่ไป๋หมิงอวี้สวมใส่ออกงานเป็นประจำนั้น มันมิมีทางที่จะกัดเท้าของนางได้อย่างแน่นอน

และแทนที่นางจะส่งสาวใช้คนสนิทมา นางก็ดันส่งจวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้มาแทน

ส่วนจวิ้นอ๋องน้อยผู้ซึ่งหลงนางหัวปักหัวปำ ก็ต้องยอมทำตามคำขอของนาง โดยที่เขามิทันได้คาดคิดหรอกว่า ศัตรูหัวใจของหญิงคนรัก จะต้องมาทันเห็นภาพบาดตาเช่นนี้

ไป๋หมิงอวี้จะต้องวางแผนทุกอย่างไว้ก่อนแล้วแน่ ๆ

ถึงได้กล้าไหว้วานชายคนรักมาเองเช่นนี้!

แล้วคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่น จะยอมปล่อยไป๋ชิงหลิงไปง่าย ๆ หรือไม่ และถ้าหากว่านางไม่ยอมปล่อยไป๋ชิงหลิงไป นางจะทำอะไรกับไป๋ชิงหลิงได้บ้างนะ?

“ขอบพระทัยจวิ้นอ๋อง ตะเกียงอังมือของพระองค์ มาได้ทันเวลาพอดีเพคะ” ไป๋ชิงหลิงกล่าวพลางรับตะเกียงอังมือจากจวิ้นอ๋องน้อยมาถือไว้ ก่อนจะส่งตะเกียงอังมืออันเดิมที่เริ่มจะเย็นเฉียบให้กับจวิ้นอ๋องน้อยไป

ซึ่งมันถือเป็นภาพที่อาจไปกระตุกหนวดของคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นได้จริง ๆ อย่างที่ไป๋ชิงหลิงคิด

แถมจวิ้นอ๋องน้อยผู้แสนซื่อ ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่จนน่าหยิกด้วยอีกต่างหาก!

แต่พอคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นได้เห็นดังนั้น นางก็หันหลังเดินจากไปทันทีด้วยความโมโห โดยไม่แม้แต่จะตะโกนทักทายจวิ้นอ๋องน้อยเลยสักคำ

เมื่อไป๋ชิงหลิงเห็นคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่นเดินจากไป นางจึงรีบเอ่ยถามจวิ้นอ๋องน้อยขึ้นมาทันทีว่า “น้องหมิงอวี้… ได้ขอให้จวิ้นอ๋องน้อยมาคอยดูแลหม่อมฉันอย่างใกล้ชิดด้วยหรือไม่เพคะ?”

“ท่านพี่รู้ได้อย่างไรขอรับ?” จวิ้นอ๋องน้อยในวัย 16 เอ่ยถามไป๋ชิงหลิงในวัย 20 อย่างชัดถ้อยชัดคำ

และมันจึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกที่จวิ้นอ๋องน้อยจะเรียกขานนางว่า “ท่านพี่” อย่างชัดถ้อยชัดคำด้วย

“น้องหมิงอวี้มักจักห่วงใยผู้อื่นอยู่เสมอ จวิ้นอ๋องน้อยจักทรงมิผิดหวังเลยล่ะเพคะ ว่าแต่… น้องหมิงอวี้จักให้หม่อมฉันไปคอยที่ใดหรือเพคะ?” ในเมื่อไป๋หมิงอวี้วางหมากมาเช่นนี้แล้ว ไป๋ชิงหลิงเองก็จำต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด

จวิ้นอ๋องน้อยจึงรีบตอบกลับไป๋ชิงหลิงอย่างกระตือรือร้นว่า

“งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่ลานกว้างกลางจวน หมิงอวี้จึงขอให้ข้านำทางท่านพี่ไปคอยนางที่นั่นขอรับ”

“เช่นนั้นเราไปกันเถิดเพคะ”

เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาถึงลานกว้างกลางจวนตระกูลเสิ่น ไป๋ชิงหลิงก็ค่อย ๆ นำของขวัญขึ้นวางบนโต๊ะกลางทันที

ลานกว้างกลางจวนตระกูลเสิ่น มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานหลายร้อยปี เนื่องจากมันเคยเป็นจวนที่พักของนายพลใหญ่ในอดีตกาลมาก่อน

และเพื่อความสะดวกในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของลูกหลานในตระกูล นายพลใหญ่ผู้นั้นจึงได้ทำการปรับปรุงลานกว้างกลางจวนให้มีความกว้างขวางและงดงามจนเป็นเอกลักษณ์

สมกับที่มันเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของตระกูลเสิ่นมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อไป๋ชิงหลิงเดินเข้ามาในงาน นางก็ได้พบกับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่

และแขกคนสำคัญที่กำลังทยอยเข้ามาในงาน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับยายเสิ่นผู้เป็นเจ้าภาพ

ไป๋ชิงหลิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ งาน ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับแววตาเย็นชาของคุณหนูสามแห่งตระกูลเสิ่น ที่กำลังจับจ้องมาที่นางกับจวิ้นอ๋องน้อยอย่างไม่วางตา…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น