ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 120

ฮูหยินอาวุโสแห่งติ้งเป่ยโหวถึงกับเป็นลมล้มตึงเมื่อได้เห็นภาพบาดตาตรงหน้า ในขณะที่ยายเสิ่นผู้เป็นเจ้าภาพนั้นเอาแต่ร้องเรียกสาวใช้ให้ช่วยกันหาผ้ามาคลุมตัวไป๋หมิงอวี้ด้วยความร้อนรน

แต่แล้วจู่ ๆ ฮูหยินรองก็กระหน่ำทุบตีชายหนุ่มที่กำลังกอดคอไป๋หมิงอวี้อย่างบ้าคลั่ง จนเป็นเหตุให้เกิดความชุลมุนขึ้นอีกครั้งต่อหน้ายายเสิ่นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

แล้วงานเลี้ยงวันเกิดของยายเสิ่นในวัย 70 ก็ต้องถูกปิดฉากไปด้วยเหตุการณ์อันน่าบัดสีของไป๋หมิงอวี้

ในขณะที่คนทั้งตระกูลเสิ่นต้องคอยรับหน้าและคอยส่งแขกออกจากจวนด้วยความอับอาย ตัวไป๋หมิงอวี้ก็ได้ถูกส่งเข้าไปในวังหลวงเพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายโดยหมอหญิงท่านหนึ่งทันที

ซึ่งทางด้านฮูหยินรองเองก็ได้ยืนยันเป็นหนักเป็นหนาว่าไป๋หมิงอวี้นั้นถูกวางยา แถมนางยังขอให้ทางตระกูลเสิ่นช่วยตรวจสอบดอกไม้นานาพรรณ และเครื่องหอมทุกชนิดที่ถูกนำมาวางเรียงรายไว้ในจุดเกิดเหตุอีกด้วย

งานนี้หมอหญิงแห่งโรงหมอหลวงจึงต้องทำการตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเหล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึง 3 ครั้ง 3 ครา

แต่หลังจากที่หมอหญิงได้ทำการตรวจสอบทุก ๆ อย่างตามคำขอของฮูหยินรองแล้วนั้น นางกลับไม่พบความผิดปกติใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

หนำซ้ำร่างกายของไป๋หมิงอวี้ ยังไม่พบร่องรอยของตัวยาใด ๆ อย่างที่ฮูหยินรองได้กล่าวอ้างมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย

เมื่อไป๋หมิงอวี้ลืมตาตื่นขึ้น นางก็เอาแต่เรียกหาจวิ้นอ๋องน้อยมิมีหยุดปาก

เนื่องจากนางยังคงเชื่อเหลือเกินว่า ชายหนุ่มที่นอนกอดก่ายกับนางก่อนหน้า คือจวิ้นอ๋องน้อยชายคนรักของนาง

แต่หลังจากที่ยายเสิ่นได้ทราบผลตรวจจากหมอหญิงแล้วนั้น แววตาของยายเสิ่นที่เมียงมองมายังไป๋หมิงอวี้ในตอนนี้ กลับแลดูเย็นชายิ่งกว่าหิมะที่กำลังตกหนักอยู่ด้านนอกหน้าต่างนั่นเสียอีก…

“ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จักช่วยเป็นแม่งานให้กับพิธีวิวาห์ของเหลียนเฉิงและคุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋ให้แล้วกัน” ยายเสิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

ซึ่งพอฮูหยินรองได้ฟังดังนั้น นางก็โกรธจัดจนเผลอเขม่นใส่ยายเสิ่นไปว่า “ฝันไปเถอะ หมิงอวี้ของข้ามิมีวันร่วมหอลงโรงกับคนที่มิมีหัวนอนปลายเท้านั่นหรอก”

ยายเสิ่นยิ้มมุมปากเล็กน้อย และนอกจากนางจะไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฮูหยินรองแล้วนั้น

นางยังยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ และตอบกลับฮูหยินรองไปอย่างใจเย็นด้วยว่า “แขกเหรื่อที่มาร่วมเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงวันเกิดของข้า ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองหลวงด้วยกันทั้งนั้น หนำซ้ำจวิ้นอ๋องน้อยเองก็เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์อันน่าบัดสีของบุตรสาวท่านด้วย ดังนั้นท่านเลิกหวังไปเถิดหนา ว่าบุตรสาวของท่านจักมีดวงได้ร่วมหอลงโรงกับจวิ้นอ๋องน้อย หรือองค์ชายพระองค์อื่นในแผ่นดินนี้หรือไม่… แต่ถ้าหากฮูหยินรองยังมีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้ ข้าก็ยังยินดีที่จักขอค่าทำขวัญจากตระกูลจ้าวให้แก่บุตรสาวของท่านนะ”

“เจ้า…” ฮูหยินรองชี้หน้ายายเสิ่นด้วยความเดือดดาล แล้วกล่าวต่อไปว่า “หยามกันเกินไปแล้ว”

ไป๋หมิงอวี้ที่เพิ่งจะได้สติจึงถามแทรกขึ้นมาด้วยความงุนงงว่า “ท่านแม่ ยายเสิ่นกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่หรือ เหตุใดข้าต้องเข้าพิธีวิวาห์กับจ้าวเหลียนเฉิงด้วยล่ะ…”

จ้าวเหลียนเฉิง คือหนึ่งในหลานชายของยายเสิ่น ซึ่งเติบโตมาในจวนตระกูลเสิ่นด้วยการเลี้ยงดูที่ไร้การเอาใจใส่ของยายเสิ่น จนเป็นเหตุให้เขากลายเป็นคนไม่เอาไหน และมักจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอบายมุขต่าง ๆ แถมยังไร้ซึ่งสติปัญญาและความสามารถ จนไม่อาจเทียบเคียงจวิ้นอ๋องน้อยได้เลยแม้แต่ปลายก้อย

แม่นางหลิ่วเหลือบมองไป๋หมิงอวี้ด้วยความสุดทน

ในขณะที่ฮูหยินรองนั้นเอาแต่ร้องห่มร้องไห้เหมือนคนไม่มีสติ

ยายเสิ่นจึงช่วยไขข้อสงสัยให้กับไป๋หมิงอวี้ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เจ้าหนะ เมาหนักจนได้เสียกับหลานชายของข้า หาใช่จวิ้นอ๋องน้อยอย่างที่เจ้าคิดฝันไม่”

“เปรี้ยง!” ความจริงจากปากยายเสิ่น เปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของไป๋หมิงอวี้

แล้วความมืดมนก็เข้าบดบังรูม่านตาของนาง

จนเป็นเหตุให้นางต้องหมดสติไปอีกครั้งในวินาทีถัดมา

“หมิงอวี้ ตื่นสิหมิงอวี้…” ฮูหยินรองร้องเรียกบุตรสาวทั้งน้ำตา

ในขณะที่ยายเสิ่นกำลังรู้สึกลำพองใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่นางไม่คิดสนใจเลยแม้แต่น้อย ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายวันดี ๆ ของนางไปมากมายแค่ไหน

แต่นอกจากไป๋หมิงอวี้จะเสียขวัญไปกับเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว ก็ยังมีเสิ่นโหรวชิงแห่งตระกูลเสิ่นอีกคน ที่ตกอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน

“คุณหนูเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามาในสวนหย่อม หลังจากที่นางได้ไปสืบทราบความคืบหน้าของไป๋หมิงอวี้มาเมื่อครู่

ซึ่งทางด้านเสิ่นโหรวชิงเองก็รีบดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยถามกลับไปทันทีว่า “เป็นเช่นไรบ้าง?”

“นอกจากคุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋จักถูกจับตรวจร่างกายไปแล้ว ท่านยายยังได้ขอให้หมอหญิงแห่งวังหลวงเข้ามาตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยในจุดเกิดเหตุด้วยเจ้าค่ะ แต่ผลปรากฏว่า บรรดาเครื่องหอมในจุดเกิดเหตุ กลับมิมีสิ่งเจือปนใด ๆ อยู่เลย แถมร่างกายของคุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋ ยังมิพบตัวยาใด ๆ อย่างที่กล่าวอ้างกันไว้ด้วย หมอหญิงเพียงสันนิษฐานว่า คุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋…อาจจักดื่มหนัก จนทำให้นางหลงผิดคิดว่าจ้าวเหลียนเฉิง คือจวิ้นอ๋องน้อยเจ้าค่ะ” ชุ่ยอวี้กล่าว

“มิมีสิ่งใดผิดปกติเลยหรือ?” เสิ่นโหรวชิงถามกลับด้วยใบหน้าซีดผาด

เพราะบรรดาเครื่องหอมที่ถูกนำเข้าไปวางเรียงรายในจุดเกิดเหตุ ล้วนเป็นเครื่องหอมที่จ้าวเหลียนเฉิงหามาเองกับมือแท้ ๆ แถมนางยังเป็นคนจุดเครื่องหอมเหล่านั้นกับมือของนางเองด้วย

ซึ่งแผนการในครั้งนี้ ไป๋หมิงอวี้เองก็เป็นตัวตั้งตัวตี และรู้เห็นเป็นใจในทุก ๆ ขั้นตอน

แต่ทำไมผลการตรวจสอบถึงเป็นเช่นนั้นไปเสียได้?

เสิ่นโหรวชิงเริ่มมือไม้สั่นด้วยความลนลาน ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น