ฮูหยินอาวุโสแห่งติ้งเป่ยโหวถึงกับเป็นลมล้มตึงเมื่อได้เห็นภาพบาดตาตรงหน้า ในขณะที่ยายเสิ่นผู้เป็นเจ้าภาพนั้นเอาแต่ร้องเรียกสาวใช้ให้ช่วยกันหาผ้ามาคลุมตัวไป๋หมิงอวี้ด้วยความร้อนรน
แต่แล้วจู่ ๆ ฮูหยินรองก็กระหน่ำทุบตีชายหนุ่มที่กำลังกอดคอไป๋หมิงอวี้อย่างบ้าคลั่ง จนเป็นเหตุให้เกิดความชุลมุนขึ้นอีกครั้งต่อหน้ายายเสิ่นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
แล้วงานเลี้ยงวันเกิดของยายเสิ่นในวัย 70 ก็ต้องถูกปิดฉากไปด้วยเหตุการณ์อันน่าบัดสีของไป๋หมิงอวี้
ในขณะที่คนทั้งตระกูลเสิ่นต้องคอยรับหน้าและคอยส่งแขกออกจากจวนด้วยความอับอาย ตัวไป๋หมิงอวี้ก็ได้ถูกส่งเข้าไปในวังหลวงเพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายโดยหมอหญิงท่านหนึ่งทันที
ซึ่งทางด้านฮูหยินรองเองก็ได้ยืนยันเป็นหนักเป็นหนาว่าไป๋หมิงอวี้นั้นถูกวางยา แถมนางยังขอให้ทางตระกูลเสิ่นช่วยตรวจสอบดอกไม้นานาพรรณ และเครื่องหอมทุกชนิดที่ถูกนำมาวางเรียงรายไว้ในจุดเกิดเหตุอีกด้วย
งานนี้หมอหญิงแห่งโรงหมอหลวงจึงต้องทำการตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเหล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึง 3 ครั้ง 3 ครา
แต่หลังจากที่หมอหญิงได้ทำการตรวจสอบทุก ๆ อย่างตามคำขอของฮูหยินรองแล้วนั้น นางกลับไม่พบความผิดปกติใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
หนำซ้ำร่างกายของไป๋หมิงอวี้ ยังไม่พบร่องรอยของตัวยาใด ๆ อย่างที่ฮูหยินรองได้กล่าวอ้างมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย
เมื่อไป๋หมิงอวี้ลืมตาตื่นขึ้น นางก็เอาแต่เรียกหาจวิ้นอ๋องน้อยมิมีหยุดปาก
เนื่องจากนางยังคงเชื่อเหลือเกินว่า ชายหนุ่มที่นอนกอดก่ายกับนางก่อนหน้า คือจวิ้นอ๋องน้อยชายคนรักของนาง
แต่หลังจากที่ยายเสิ่นได้ทราบผลตรวจจากหมอหญิงแล้วนั้น แววตาของยายเสิ่นที่เมียงมองมายังไป๋หมิงอวี้ในตอนนี้ กลับแลดูเย็นชายิ่งกว่าหิมะที่กำลังตกหนักอยู่ด้านนอกหน้าต่างนั่นเสียอีก…
“ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จักช่วยเป็นแม่งานให้กับพิธีวิวาห์ของเหลียนเฉิงและคุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋ให้แล้วกัน” ยายเสิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
ซึ่งพอฮูหยินรองได้ฟังดังนั้น นางก็โกรธจัดจนเผลอเขม่นใส่ยายเสิ่นไปว่า “ฝันไปเถอะ หมิงอวี้ของข้ามิมีวันร่วมหอลงโรงกับคนที่มิมีหัวนอนปลายเท้านั่นหรอก”
ยายเสิ่นยิ้มมุมปากเล็กน้อย และนอกจากนางจะไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฮูหยินรองแล้วนั้น
นางยังยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ และตอบกลับฮูหยินรองไปอย่างใจเย็นด้วยว่า “แขกเหรื่อที่มาร่วมเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงวันเกิดของข้า ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองหลวงด้วยกันทั้งนั้น หนำซ้ำจวิ้นอ๋องน้อยเองก็เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์อันน่าบัดสีของบุตรสาวท่านด้วย ดังนั้นท่านเลิกหวังไปเถิดหนา ว่าบุตรสาวของท่านจักมีดวงได้ร่วมหอลงโรงกับจวิ้นอ๋องน้อย หรือองค์ชายพระองค์อื่นในแผ่นดินนี้หรือไม่… แต่ถ้าหากฮูหยินรองยังมีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้ ข้าก็ยังยินดีที่จักขอค่าทำขวัญจากตระกูลจ้าวให้แก่บุตรสาวของท่านนะ”
“เจ้า…” ฮูหยินรองชี้หน้ายายเสิ่นด้วยความเดือดดาล แล้วกล่าวต่อไปว่า “หยามกันเกินไปแล้ว”
ไป๋หมิงอวี้ที่เพิ่งจะได้สติจึงถามแทรกขึ้นมาด้วยความงุนงงว่า “ท่านแม่ ยายเสิ่นกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่หรือ เหตุใดข้าต้องเข้าพิธีวิวาห์กับจ้าวเหลียนเฉิงด้วยล่ะ…”
จ้าวเหลียนเฉิง คือหนึ่งในหลานชายของยายเสิ่น ซึ่งเติบโตมาในจวนตระกูลเสิ่นด้วยการเลี้ยงดูที่ไร้การเอาใจใส่ของยายเสิ่น จนเป็นเหตุให้เขากลายเป็นคนไม่เอาไหน และมักจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอบายมุขต่าง ๆ แถมยังไร้ซึ่งสติปัญญาและความสามารถ จนไม่อาจเทียบเคียงจวิ้นอ๋องน้อยได้เลยแม้แต่ปลายก้อย
แม่นางหลิ่วเหลือบมองไป๋หมิงอวี้ด้วยความสุดทน
ในขณะที่ฮูหยินรองนั้นเอาแต่ร้องห่มร้องไห้เหมือนคนไม่มีสติ
ยายเสิ่นจึงช่วยไขข้อสงสัยให้กับไป๋หมิงอวี้ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เจ้าหนะ เมาหนักจนได้เสียกับหลานชายของข้า หาใช่จวิ้นอ๋องน้อยอย่างที่เจ้าคิดฝันไม่”
“เปรี้ยง!” ความจริงจากปากยายเสิ่น เปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของไป๋หมิงอวี้
แล้วความมืดมนก็เข้าบดบังรูม่านตาของนาง
จนเป็นเหตุให้นางต้องหมดสติไปอีกครั้งในวินาทีถัดมา
“หมิงอวี้ ตื่นสิหมิงอวี้…” ฮูหยินรองร้องเรียกบุตรสาวทั้งน้ำตา
ในขณะที่ยายเสิ่นกำลังรู้สึกลำพองใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่นางไม่คิดสนใจเลยแม้แต่น้อย ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายวันดี ๆ ของนางไปมากมายแค่ไหน
แต่นอกจากไป๋หมิงอวี้จะเสียขวัญไปกับเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว ก็ยังมีเสิ่นโหรวชิงแห่งตระกูลเสิ่นอีกคน ที่ตกอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน
“คุณหนูเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามาในสวนหย่อม หลังจากที่นางได้ไปสืบทราบความคืบหน้าของไป๋หมิงอวี้มาเมื่อครู่
ซึ่งทางด้านเสิ่นโหรวชิงเองก็รีบดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยถามกลับไปทันทีว่า “เป็นเช่นไรบ้าง?”
“นอกจากคุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋จักถูกจับตรวจร่างกายไปแล้ว ท่านยายยังได้ขอให้หมอหญิงแห่งวังหลวงเข้ามาตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยในจุดเกิดเหตุด้วยเจ้าค่ะ แต่ผลปรากฏว่า บรรดาเครื่องหอมในจุดเกิดเหตุ กลับมิมีสิ่งเจือปนใด ๆ อยู่เลย แถมร่างกายของคุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋ ยังมิพบตัวยาใด ๆ อย่างที่กล่าวอ้างกันไว้ด้วย หมอหญิงเพียงสันนิษฐานว่า คุณหนูสามแห่งตระกูลไป๋…อาจจักดื่มหนัก จนทำให้นางหลงผิดคิดว่าจ้าวเหลียนเฉิง คือจวิ้นอ๋องน้อยเจ้าค่ะ” ชุ่ยอวี้กล่าว
“มิมีสิ่งใดผิดปกติเลยหรือ?” เสิ่นโหรวชิงถามกลับด้วยใบหน้าซีดผาด
เพราะบรรดาเครื่องหอมที่ถูกนำเข้าไปวางเรียงรายในจุดเกิดเหตุ ล้วนเป็นเครื่องหอมที่จ้าวเหลียนเฉิงหามาเองกับมือแท้ ๆ แถมนางยังเป็นคนจุดเครื่องหอมเหล่านั้นกับมือของนางเองด้วย
ซึ่งแผนการในครั้งนี้ ไป๋หมิงอวี้เองก็เป็นตัวตั้งตัวตี และรู้เห็นเป็นใจในทุก ๆ ขั้นตอน
แต่ทำไมผลการตรวจสอบถึงเป็นเช่นนั้นไปเสียได้?
เสิ่นโหรวชิงเริ่มมือไม้สั่นด้วยความลนลาน ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...