แม่นางหลิ่วหันมองไปยังไป๋ชิงหลิงด้วยความสับสน และนางเดาไม่ออกจริง ๆ ว่า ไป๋ชิงหลิงกำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่
แต่ฮูหยินอาวุโสกลับจ้องหน้าไป๋ชิงหลิงด้วยความเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนจะพูดกับติ้งเป่ยโหวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าจักต้องไปสะสางเรื่องวุ่นวายทั้งหมดกับฮูหยินอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่น จงบอกให้นางหาทางปิดปากแขกเหรื่อที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดให้ได้ และในเมื่อพระชายาของท่านอ๋องอันชินมิโปรดปรานหมิงอวี้ เราก็ค่อยหาชายในตระกูลสูงศักดิ์ที่เหมาะสมกับหมิงอวี้มาให้เร็วที่สุด อย่าได้ปล่อยให้เกิดพิธีวิวาห์ระหว่างหมิงอวี้กับไอ้เด็กหนุ่มเหลือขอนั่นเด็ดขาด”
“หึ!” ไป๋ชิงหลิงหลุดขำออกมาอย่างกะทันหัน
“มีสิ่งใดน่าขันนักรึ!” ฮูหยินอาวุโสตะคอกใส่หน้าไป๋ชิงหลิงด้วยความโมโห
ไป๋ชิงหลิงจึงหันกลับไปถามติ้งเป่ยโหวอย่างชัดถ้อยชัดคำต่อทันทีว่า “ในเมื่อท่านพ่อเรียกข้ามาที่นี่ ข้าก็ต้องมีสิทธิ์ออกความเห็นในเรื่องนี้ด้วย ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“หากเจ้ามีทางออกที่ดีกว่านี้ ก็จงเร่งเสนอมันออกมาเถิด คนบ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันนั้นเป็นเรื่องดี” ติ้งเป่ยโหวตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ผิดกับน้ำเสียงแข็งกระด้างที่เขาใช้สวนกลับฮูหยินรองจนใคร ๆ สัมผัสได้
ไป๋ชิงหลิงจึงพยักหน้า และตอบกลับไปว่า“เช่นนั้น ถ้าหากว่าวิธีของข้ามันมิเข้าหูคนในบ้าน ก็ให้คิดเสียว่าข้ามีปัญญาแค่เพียงเท่านี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
“อืม ไหนเจ้าลองว่ามาสิ!” ติ้งเป่ยโหวกล่าว
เพราะถึงอย่างไร เรื่องแบบนี้ก็มิใช่เรื่องที่ชายชาตินักรบอย่างติ้งเป่ยโหวถนัดนัก
เขาจึงทำได้เพียงหวังพึ่งมันสมองของบุตรสาวอย่างไป๋ชิงหลิง
และไป๋ชิงหลิงเองก็ได้ไปร่วมเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่นด้วย ดังนั้นเขาจึงเชื่อเหลือเกินว่า ไป๋ชิงหลิงจะต้องมีทางออกดี ๆ ให้กับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
แล้วไป๋ชิงหลิงก็เริ่มเกริ่นถึงเหตุการณ์ในงานให้ฮูหยินอาวุโสได้ฟังอย่างใจเย็นว่า “แขกเหรื่อที่ไปร่วมเฉลิมฉลองให้แก่ยายเสิ่นในวันนี้ ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองหลวงด้วยกันทั้งนั้น และมันมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขกในงาน ที่ได้เห็นน้องหมิงอวี้ในจุดเกิดเหตุ
และพอเรื่องมันเป็นเช่นนั้นแล้ว ทางตระกูลเสิ่นก็ได้ขอให้หมอหญิงจากวังหลวงมาตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยในจุดเกิดเหตุ รวมถึงร่างกายของน้องหมิงอวี้ในทันที แต่สุดท้ายแล้ว หมอหญิงผู้นั้นก็ได้สรุปผลตรวจทุกอย่างออกมาว่า วัตถุต้องสงสัย รวมถึงร่างกายของน้องหมิงอวี้นั้น หาได้มียากดประสาทหรือสิ่งเจือปนใด ๆ ไม่ และตามร่างกายของน้องหมิงอวี้ ก็มิพบร่องรอยของการถูกทำร้าย ซึ่งอาจหมายรวมไปถึงการบังคับขืนใจแต่อย่างใด ดังนั้นหมอหญิงและคนอื่น ๆ จึงพากันสรุปว่า การที่น้องหมิงอวี้ไปร่วมหลับนอนกับคุณชายจ้าวนั้น อาจเป็นการสมยอมของน้องหมิงอวี้เองเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าพูดบ้าอะไร ข้าจักจับเจ้าฉีกปากเสียบัดเดี๋ยวนี้เลย!” ฮูหยินรองเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำว่า “ร่วมหลับนอน” จากปากไป๋ชิงหลิง
แต่ด้วยความที่ไป๋อู้อี้ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า มันจึงทำให้ฮูหยินรองไม่สามารถพุ่งเข้าหาไป๋ชิงหลิงได้ตามใจหวัง
แต่ทางด้านไป๋ชิงหลิงเองก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ และตอบกลับฮูหยินรองต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ถ้าหากมันเป็นการสมยอมจริงอย่างที่ใครเขาว่า แล้วเหตุใดฮูหยินอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่นถึงต้องออกปากจัดแจงเรื่องทุกอย่างแทนพวกเรา ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวอันฉาวโฉ่นี้ ได้ถูกโพนทะนาไปทั่วตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว
และนอกจากคุณชายจ้าว มันจักมีชายใดในตระกูลสูงศักดิ์ที่กล้าสู่ขอน้องหมิงอวี้ได้อีกหรือ? นอกจากนี้ นางมิเพียงแต่ต้องแต่งงานออกจากจวนติ้งเป่ยโหวไปเท่านั้น เพราะครอบครัวของนายท่านรองเอง ก็ต้องย้ายออกจากจวนติ้งเป่ยโหวไปด้วยเช่นกัน!”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าหนะ?” นายท่านรองเอ่ยถามเสียงสั่น พลางจ้องมองไป๋ชิงหลิงด้วยแววตาเบิกโพลง
เพราะอันที่จริง ตัวเขาเองก็ได้คิดหาวิธีแก้ไว้ในใจก่อนแล้ว แต่พอเขาได้ยินไป๋ชิงหลิงพูดออกมาแบบนี้… เสาหลักของครอบครัวอย่างเขาจึงมิอาจทนนิ่งดูดายต่อไปได้
“เจ้าดูไว้นะ ว่าเด็กที่เจ้าพาเข้ามา มันกำลังจักทำให้คนทั้งตระกูลต้องแตกแยกกันไปหมดแล้ว! เจ้ารีบพานางออกไปเดี๋ยวนี้ ข้ามิอยากจักเห็นหน้านาง พาออกไป!” ฮูหยินอาวุโสกล่าวกับติ้งเป่ยโหวด้วยความรังเกียจ
“แต่ข้ายังพูดมิจบเลยนะเจ้าคะ ท่านยาย” ไป๋ชิงหลิงแย้งขึ้น ก่อนจะกล่าวต่อไปอย่างใจเย็นว่า “หากครอบครัวของนายท่านรองมิย้ายออกไป ทายาทหญิงชายในตระกูลติ้งเป่ยโหวที่ยังเหลืออยู่ก็จักมิสามารถเข้าสู่แวดวงสังคมในอนาคตได้ ข้าว่าท่านยายเองก็คงจักเข้าใจเหตุผลในข้อนี้ดีกว่าคนรุ่นข้าเสียด้วยซ้ำ”
พูดจบ ไป๋ชิงหลิงก็หันไปบอกกับติ้งเป่ยโหวว่า “ข้ามิมีสิ่งใดที่อยากจักพูดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ”
จากนั้นไป๋ชิงหลิงก็กลับหลังหัน เพื่อเตรียมจะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปแบบเงียบ ๆ
แต่ในขณะที่ไป๋ชิงหลิงกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูไปนั้น จู่ ๆ ร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากนอกเรือนฉืออวี้อย่างกะทันหัน
และคนที่พุ่งเข้าหาไป๋ชิงหลิง ก็คือไป๋หมิงอวี้ที่คอยแอบฟังอยู่ข้าง ๆ เรือนมาตั้งแต่ต้นชั่วโมง ซึ่งพอนางได้ยินไป๋ชิงหลิงเสนอให้ครอบครัวนางย้ายออกจากจวนติ้งเป่ยโหว มันจึงทำให้นางไม่อาจทนฟังต่อไปได้นั่นเอง
แต่ไม่ว่าร่างบางของไป๋หมิงอวี้จะตั้งใจพุ่งเข้าใส่ไป๋ชิงหลิงอย่างไร ไป๋ชิงหลิงก็ยังคงยืนหยัดอยู่กับที่ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลี่ยงไป๋หมิงอวี้เลยแม้แต่น้อย
“ตึง!”
ร่างบางของไป๋หมิงอวี้และไป๋ชิงหลิงล้มลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนที่ไป๋หมิงอวี้จะเล็งกริชในมือเข้าใส่ไป๋ชิงหลิงในวินาทีถัดมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...