ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 121

แม่นางหลิ่วหันมองไปยังไป๋ชิงหลิงด้วยความสับสน และนางเดาไม่ออกจริง ๆ ว่า ไป๋ชิงหลิงกำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่

แต่ฮูหยินอาวุโสกลับจ้องหน้าไป๋ชิงหลิงด้วยความเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนจะพูดกับติ้งเป่ยโหวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“เจ้าจักต้องไปสะสางเรื่องวุ่นวายทั้งหมดกับฮูหยินอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่น จงบอกให้นางหาทางปิดปากแขกเหรื่อที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดให้ได้ และในเมื่อพระชายาของท่านอ๋องอันชินมิโปรดปรานหมิงอวี้ เราก็ค่อยหาชายในตระกูลสูงศักดิ์ที่เหมาะสมกับหมิงอวี้มาให้เร็วที่สุด อย่าได้ปล่อยให้เกิดพิธีวิวาห์ระหว่างหมิงอวี้กับไอ้เด็กหนุ่มเหลือขอนั่นเด็ดขาด”

“หึ!” ไป๋ชิงหลิงหลุดขำออกมาอย่างกะทันหัน

“มีสิ่งใดน่าขันนักรึ!” ฮูหยินอาวุโสตะคอกใส่หน้าไป๋ชิงหลิงด้วยความโมโห

ไป๋ชิงหลิงจึงหันกลับไปถามติ้งเป่ยโหวอย่างชัดถ้อยชัดคำต่อทันทีว่า “ในเมื่อท่านพ่อเรียกข้ามาที่นี่ ข้าก็ต้องมีสิทธิ์ออกความเห็นในเรื่องนี้ด้วย ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

“หากเจ้ามีทางออกที่ดีกว่านี้ ก็จงเร่งเสนอมันออกมาเถิด คนบ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันนั้นเป็นเรื่องดี” ติ้งเป่ยโหวตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ผิดกับน้ำเสียงแข็งกระด้างที่เขาใช้สวนกลับฮูหยินรองจนใคร ๆ สัมผัสได้

ไป๋ชิงหลิงจึงพยักหน้า และตอบกลับไปว่า“เช่นนั้น ถ้าหากว่าวิธีของข้ามันมิเข้าหูคนในบ้าน ก็ให้คิดเสียว่าข้ามีปัญญาแค่เพียงเท่านี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

“อืม ไหนเจ้าลองว่ามาสิ!” ติ้งเป่ยโหวกล่าว

เพราะถึงอย่างไร เรื่องแบบนี้ก็มิใช่เรื่องที่ชายชาตินักรบอย่างติ้งเป่ยโหวถนัดนัก

เขาจึงทำได้เพียงหวังพึ่งมันสมองของบุตรสาวอย่างไป๋ชิงหลิง

และไป๋ชิงหลิงเองก็ได้ไปร่วมเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่นด้วย ดังนั้นเขาจึงเชื่อเหลือเกินว่า ไป๋ชิงหลิงจะต้องมีทางออกดี ๆ ให้กับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

แล้วไป๋ชิงหลิงก็เริ่มเกริ่นถึงเหตุการณ์ในงานให้ฮูหยินอาวุโสได้ฟังอย่างใจเย็นว่า “แขกเหรื่อที่ไปร่วมเฉลิมฉลองให้แก่ยายเสิ่นในวันนี้ ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองหลวงด้วยกันทั้งนั้น และมันมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขกในงาน ที่ได้เห็นน้องหมิงอวี้ในจุดเกิดเหตุ

และพอเรื่องมันเป็นเช่นนั้นแล้ว ทางตระกูลเสิ่นก็ได้ขอให้หมอหญิงจากวังหลวงมาตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยในจุดเกิดเหตุ รวมถึงร่างกายของน้องหมิงอวี้ในทันที แต่สุดท้ายแล้ว หมอหญิงผู้นั้นก็ได้สรุปผลตรวจทุกอย่างออกมาว่า วัตถุต้องสงสัย รวมถึงร่างกายของน้องหมิงอวี้นั้น หาได้มียากดประสาทหรือสิ่งเจือปนใด ๆ ไม่ และตามร่างกายของน้องหมิงอวี้ ก็มิพบร่องรอยของการถูกทำร้าย ซึ่งอาจหมายรวมไปถึงการบังคับขืนใจแต่อย่างใด ดังนั้นหมอหญิงและคนอื่น ๆ จึงพากันสรุปว่า การที่น้องหมิงอวี้ไปร่วมหลับนอนกับคุณชายจ้าวนั้น อาจเป็นการสมยอมของน้องหมิงอวี้เองเจ้าค่ะ”

“นี่เจ้าพูดบ้าอะไร ข้าจักจับเจ้าฉีกปากเสียบัดเดี๋ยวนี้เลย!” ฮูหยินรองเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำว่า “ร่วมหลับนอน” จากปากไป๋ชิงหลิง

แต่ด้วยความที่ไป๋อู้อี้ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า มันจึงทำให้ฮูหยินรองไม่สามารถพุ่งเข้าหาไป๋ชิงหลิงได้ตามใจหวัง

แต่ทางด้านไป๋ชิงหลิงเองก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ และตอบกลับฮูหยินรองต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ถ้าหากมันเป็นการสมยอมจริงอย่างที่ใครเขาว่า แล้วเหตุใดฮูหยินอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่นถึงต้องออกปากจัดแจงเรื่องทุกอย่างแทนพวกเรา ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวอันฉาวโฉ่นี้ ได้ถูกโพนทะนาไปทั่วตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว

และนอกจากคุณชายจ้าว มันจักมีชายใดในตระกูลสูงศักดิ์ที่กล้าสู่ขอน้องหมิงอวี้ได้อีกหรือ? นอกจากนี้ นางมิเพียงแต่ต้องแต่งงานออกจากจวนติ้งเป่ยโหวไปเท่านั้น เพราะครอบครัวของนายท่านรองเอง ก็ต้องย้ายออกจากจวนติ้งเป่ยโหวไปด้วยเช่นกัน!”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้าหนะ?” นายท่านรองเอ่ยถามเสียงสั่น พลางจ้องมองไป๋ชิงหลิงด้วยแววตาเบิกโพลง

เพราะอันที่จริง ตัวเขาเองก็ได้คิดหาวิธีแก้ไว้ในใจก่อนแล้ว แต่พอเขาได้ยินไป๋ชิงหลิงพูดออกมาแบบนี้… เสาหลักของครอบครัวอย่างเขาจึงมิอาจทนนิ่งดูดายต่อไปได้

“เจ้าดูไว้นะ ว่าเด็กที่เจ้าพาเข้ามา มันกำลังจักทำให้คนทั้งตระกูลต้องแตกแยกกันไปหมดแล้ว! เจ้ารีบพานางออกไปเดี๋ยวนี้ ข้ามิอยากจักเห็นหน้านาง พาออกไป!” ฮูหยินอาวุโสกล่าวกับติ้งเป่ยโหวด้วยความรังเกียจ

“แต่ข้ายังพูดมิจบเลยนะเจ้าคะ ท่านยาย” ไป๋ชิงหลิงแย้งขึ้น ก่อนจะกล่าวต่อไปอย่างใจเย็นว่า “หากครอบครัวของนายท่านรองมิย้ายออกไป ทายาทหญิงชายในตระกูลติ้งเป่ยโหวที่ยังเหลืออยู่ก็จักมิสามารถเข้าสู่แวดวงสังคมในอนาคตได้ ข้าว่าท่านยายเองก็คงจักเข้าใจเหตุผลในข้อนี้ดีกว่าคนรุ่นข้าเสียด้วยซ้ำ”

พูดจบ ไป๋ชิงหลิงก็หันไปบอกกับติ้งเป่ยโหวว่า “ข้ามิมีสิ่งใดที่อยากจักพูดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ”

จากนั้นไป๋ชิงหลิงก็กลับหลังหัน เพื่อเตรียมจะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปแบบเงียบ ๆ

แต่ในขณะที่ไป๋ชิงหลิงกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูไปนั้น จู่ ๆ ร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากนอกเรือนฉืออวี้อย่างกะทันหัน

และคนที่พุ่งเข้าหาไป๋ชิงหลิง ก็คือไป๋หมิงอวี้ที่คอยแอบฟังอยู่ข้าง ๆ เรือนมาตั้งแต่ต้นชั่วโมง ซึ่งพอนางได้ยินไป๋ชิงหลิงเสนอให้ครอบครัวนางย้ายออกจากจวนติ้งเป่ยโหว มันจึงทำให้นางไม่อาจทนฟังต่อไปได้นั่นเอง

แต่ไม่ว่าร่างบางของไป๋หมิงอวี้จะตั้งใจพุ่งเข้าใส่ไป๋ชิงหลิงอย่างไร ไป๋ชิงหลิงก็ยังคงยืนหยัดอยู่กับที่ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลี่ยงไป๋หมิงอวี้เลยแม้แต่น้อย

“ตึง!”

ร่างบางของไป๋หมิงอวี้และไป๋ชิงหลิงล้มลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนที่ไป๋หมิงอวี้จะเล็งกริชในมือเข้าใส่ไป๋ชิงหลิงในวินาทีถัดมา

ซึ่งพอไป๋ชิงหลิงมองเห็นกริชเงินอันแหลมคมที่กำลังจะถูกแทงเข้ามาในเบ้าตา นางจึงรีบยกมือขึ้นบดบังใบหน้าของนางทันทีตามสัญชาตญาณ

“เจาเสวี่ย!” เมื่อเสียงเรียกของติ้งเป่ยโหวดังขึ้น

ไป๋ชิงหลิงก็เริ่มสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่กำลังไหลซึมผ่านเสื้อนอกของนางออกมาอย่างช้า ๆ

ติ้งเป่ยโหวเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาเตะไป๋หมิงอวี้ทันทีด้วยความโมโห

“พัวะ!” จนเป็นเหตุให้ร่างบางของไป๋หมิงอวี้ถูกส่งออกไปนอกห้องโถงอย่างแรงจนนางหมดสติไป

ฮูหยินรองเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งออกไปหาบุตรสาว พร้อมตะโกนเรียกบุตรสาวสุดที่รักทั้งน้ำตาว่า “หมิงอวี้–”

ติ้งเป่ยโหวเข้าไปประคองร่างของบุตรสาวที่กำลังบอบช้ำขึ้นมาอย่างเบามือ

เนื่องจากกริชเงินที่ไป๋หมิงอวี้ใช้ก่อเหตุนั้น คืออาวุธป้องกันตัวที่จวิ้นอ๋องน้อยทรงประทานให้เป็นของแทนใจแก่ไป๋หมิงอวี้ และมันมีความคมยิ่งกว่ามีดดาบทั่วไปเป็นไหน ๆ

ดังนั้นแผลที่หัวไหล่ของไป๋ชิงหลิง จึงมิเหมือนกับแผลมีดบาดธรรมดา ๆ อย่างในละครหลังข่าวแต่อย่างใด

ติ้งเป่ยโหวกอดร่างบางของไป๋ชิงหลิงด้วยความปวดใจ ก่อนจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตาว่า “ตามหมอมาที ใครก็ได้ ช่วยที”

เมื่อซังจวี๋ได้ยินเช่นนั้น

นางจึงรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ก่อนจะต้องชะงักงันกับภาพตรงหน้าไปครู่หนึ่ง แต่พอซังจวี๋ได้สติกลับมา นางก็หันไปชักสีหน้าใส่ไป๋หมิงอวี้ทันทีด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะเลือกวิ่งเข้าไปพยุงร่างของไป๋ชิงหลิงกลับเรือนทันทีด้วยความร้อนใจ

ติ้งเป่ยโหวได้หมดเงินไปเป็นจำนวนมาก ในการส่งรถไปรับหมอหญิงจากหอหลิวเหยียนเพื่อมารักษาไป๋ชิงหลิง

ก่อนจะได้ตัวหมออีผิงถิงมาเป็นแพทย์ผู้รักษาในยามวิกาลแบบนี้

เมื่ออีผิงถิงทำแผลให้กับไป๋ชิงหลิงเสียจนเสร็จสรรพแล้ว ติ้งเป่ยโหวจึงจะกล้าเดินเข้ามาในห้องของไป๋ชิงหลิงอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าที่ยังคงแลดูเป็นกังวลเหมือนในทีแรก

ไป๋ชิงหลิงจึงส่งยิ้มให้กับติ้งเป่ยโหว แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ บนไหล่ของข้ามีเพียงรอยขีดข่วนเท่านั้น หาใช่แผลใหญ่อะไรไม่”

แต่น้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนของนาง มันทำให้ติ้งเป่ยโหวอดคิดถึงเจ้าของร่างเดิมของนางมิได้จริง ๆ

“เลือดไหลเป็นทางขนาดนั้น มันมิใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วหนา หากพ่อรู้ว่าการที่พ่อเรียกเจ้ามา มันจักทำให้เจ้าต้องเจ็บตัวเช่นนี้ พ่อว่าพ่อยอมให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหุบเขาเซียนไหลต่อไปเสียยังดีกว่า” ติ้งเป่ยโหวกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

และเขามักจะคิดอยู่เสมอ ว่าถ้าหากเขายอมอ่อนข้อให้กับฮูหยินอาวุโสและคนอื่น ๆ ในตระกูลแล้ว คนพวกนั้นก็อาจจะมองไป๋ชิงหลิงด้วยความเมตตาได้บ้าง

แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า การที่เขาเอาแต่พยายามทำทุกอย่างเพื่อคนพวกนั้น มันจะไม่ช่วยให้ไป๋ชิงหลิงได้รับความเมตตาจากคนพวกนั้นได้เลย!

เพราะสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการ ก็คือการได้ครองจวนติ้งเป่ยโหวแห่งนี้เท่านั้น

และการที่ติ้งเป่ยโหวไร้สิทธิ์ไร้เสียงในบ้าน

มันก็ได้ทำให้ติ้งเป่ยโหวเริ่มรู้แล้วว่า… อะไรคือปัญหาที่แท้จริงในจวนติ้งเป่ยโหว

“หากท่านพ่อคิดเช่นนั้น มันจักยิ่งทำให้ข้ารู้สึกแย่เข้าไปอีกนะเจ้าคะ”

ติ้งเป่ยโหวจึงรีบคัดค้านไป๋ชิงหลิงกลับไปทันทีว่า “เจาเสวี่ย พ่อแค่มิอยากเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ก็เท่านั้น และการที่เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหุบเขาเซียนไหล มันย่อมดีกว่าการต้องมารับมือกับความบ้าคลั่งของคนเหล่านี้อยู่แล้วมิใช่หรือ”

“หากท่านพ่อมิเมตตาลูกนอกไส้อย่างข้า ท่านพ่อเองก็คงมิพาข้าเข้ามาในจวนติ้งเป่ยโหวเช่นนี้ แต่พอจวนติ้งเป่ยโหวต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ ท่านพ่อก็เอาแต่โทษตัวเองและกีดกันข้าจากจวนติ้งเป่ยโหว ท่านพ่อทำเช่นนี้ มันยิ่งทำให้ใจของข้าต้องเป็นทุกข์ยิ่งกว่าการถูกกลั่นแกล้งรังแกอีกนะเจ้าคะ”

และนี่ก็คือความต่างระหว่างไป๋ชิงหลิงและไป๋เจาเสวี่ย

เพราะไม่ว่าไป๋ชิงหลิงจะถูกกลั่นแกล้งรังแกอย่างไร มันก็ยังมิน่าเวทนาเท่ากับการที่ไป๋เจาเสวี่ยต้องกลายเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ดี

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีบางมุมที่ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเจ้าของร่างเดิม แต่เขาก็ยังมองว่าร่างเดิมนี้ คือร่างของบุตรสาวอันเป็นที่รักของเขา

ซึ่งความรักที่ติ้งเป่ยโหวมีให้กับไป๋เจาเสวี่ยนั้น มันมากล้นเกินกว่าที่ใคร ๆ จะมีให้กับลูกสาวในไส้ได้

ไป๋ชิงหลิงจ้องมองติ้งเป่ยโหวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ และไม่อาจจะกลั้นน้ำใส ๆ ไม่ให้ไหลออกจากตาของนางได้…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น