ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 122

สายตาของนางทำให้ติ้งเป่ยโหวรู้สึกสะเทือนใจ

ทันใดนั้น เขาลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยว่า “เจาเสวี่ย พ่อ...พ่อไม่เคยคิดเช่นนั้น...”

“เช่นนั้น ท่านพ่อต้องการส่งลูกกลับไปยังหุบเขาเซียนไหลหรือเจ้าคะ?” ขณะที่ไป๋ชิงหลิงกำลังพูด น้ำตาก็ค่อยๆ ไหลรินออกมา

ด้วยสัญชาตญาณ ติ้งเป่ยโหวเอื้อมมือไปรับ และปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนาง แต่ไม่ว่าจะปาดอย่างไร น้ำตายังคงไหลรินอยู่เช่นเดิม

เขารีบปลอบใจนาง “หากไม่อยากกลับไป พ่อจะไม่ส่งเจ้ากลับ เด็กดี อย่าร้องไห้เลย”

ในฉับพลันนั้น ไป๋ชิงหลิงก้มหน้าลงกับโต๊ะ ร่ำไห้สะอื้นเบาๆ “ถึงแม้ว่าฮูหยินอาวุโสจะไม่ชอบข้าและทำให้ข้าอึดอัดใจ แม้ว่าฮูหยินรองจะด่าว่าข้า ดูหมิ่นข้า แม้ว่าหมิงอวี้จะทำร้ายข้า ข้าก็ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย เพราะเมื่อข้าคิดถึงว่า ข้าก็ไม่ใช่ลูกกำพร้าที่ไร้บิดามารดาอีกต่อไปแล้ว ข้ามีท่านพ่อคอยให้การสนับสนุน ข้าก็มีความสุข ท่านรู้บ้างไหม!”

ในใจลึกๆ ของติ้งเป่ยโหวสั่นคลอน

เขามองไปที่ไป๋ชิงหลิงด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋ชิงหลิงเผยสิ่งที่อยู่ในใจให้เขารับรู้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นด้านที่อ่อนแอของนาง

ที่แท้...นางไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด

นางยังเป็นเด็กน้อยที่โหยหาความรักจากพ่อแม่

เขายกมือขึ้นลูบหัวของนางเบาๆ และปลอบนางอย่างอ่อนโยน “พ่อรู้แล้ว เจ้าพักรักษาตัวเถิด พ่อจะไม่ยอมให้ความคับข้องใจที่เจ้าได้รับในวันนี้ต้องเสียเปล่า”

ไป๋ชิงหลิงเงยหน้าขึ้น น้ำตาเปียกชุ่มใบหน้าของนาง และไหลผ่านคางน้อยๆ ของนางหยดลงมา

ติ้งเป่ยโหวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าแสดงออกถึงความรักและเอ็นดู “หากเจ้ายังร้องไห้ต่อไปอีกล่ะก็ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาเจ้าคงขี้เหร่น่าดู”

ไป๋ชิงหลิงหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า

“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”

“ได้ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน พ่อไม่กวนเจ้าแล้ว เจ้าต้องคอยระวังอาการบาดเจ็บของเจ้าด้วย หากรู้สึกไม่สบายก็ส่งคนไปบอกพ่อนะ” ติ้งเป่ยโหวกำชับ

ไป๋ชิงหลิงพยักหน้าและกำลังคิดจะลุกขึ้นไปส่งเขา แต่ติ้งเป่ยโหวเดินออกไปและปิดประตูห้องลง ไม่ยอมให้นางไปส่ง

เมื่อติ้งเป่ยโหวเดินออกจากเรือนชิงซิน รอยยิ้มบนใบหน้าของได้อันตรธานหายไปแล้ว

“กัวจ้าว เรียกพ่อบ้านเลี่ยวมา ให้ไปเบิกเงินที่คลังออกมาจำนวนหนึ่ง คืนนี้จะต้องให้ครอบครัวของบ้านรองย้ายออกไป เจ้าไปจัดหาบ้านพักสักหลังให้พวกเขา ไม่ต้องใหญ่มาก เอาให้พอเหมาะกับความสามารถของนายท่านรอง นับจากนี้ไป ไม่ต้องจ่ายเบี้ยหวัดให้บ้านรองอีก” ติ้งเป่ยโหวสั่งการ

ไป๋กัวจ้าวมีสีหน้าประหลาดใจ “ท่านโหว แล้วจะอธิบายกับฮูหยินอาวุโสอย่างไรดี?”

“ยังมีเด็กสาวอีกหลายคนในจวนที่ยังไม่ได้ออกเรือน หลานชายคนโตก็ยังไม่ได้แต่งเมีย เจ้าส่งแม่นมที่รู้ความไปพูดกับฮูหยินอาวุโสให้เข้าใจ หากนางไม่เข้าใจ...ก็ปล่อยนางอาละวาดไปก็แล้วกัน” สีหน้าของติ้งเป่ยโหวดำมืด เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

คราวนี้ไม่ว่าใครจะมาพูดต่อหน้าเขา เขาจะไม่ยอมปล่อยบ้านรองไปแน่

ไป๋กัวจ้าวพยักหน้า “หากท่านโหวลงมือแต่เนิ่นๆ บางที จวนโหวอาจจะไม่เป็นเช่นนี้”

ฝีเท้าของติ้งเป่ยโหวหยุดชะงัก เขาหันไปมองไป๋กัวจ้าว “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”

“ท่านโหวเป็นผู้เดินหมากบนกระดาน ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยเอ่ยถึง ข้าน้อยก็ไม่กล้าพูด ฮูหยินอาวุโสล้วนนำสิ่งของที่ท่านหามาได้แจกจ่ายให้ครอบครัวเหล่านั้น เรื่องสมรสของคุณหนูรองในตอนนั้น...”

ทันทีที่เอ่ยถึงคุณหนูรอง ไป๋กัวจ้าวก็พบว่า ใบหน้าของติ้งเป่ยโหวค้างแข็งดูย่ำแย่

เขารู้ดีว่า คุณหนูรองเป็นบาดแผลในใจของท่านโหว

“เร็วๆ นี้ข้าน้อยได้ยินมาว่า ไทเฮาโปรดปรานแม่นางเจาเสวี่ยเป็นอย่างยิ่ง ท่านอ๋องหรงเองก็ปฏิบัติต่อนางแตกต่างไปจากสตรีนางอื่น ถ้าหาก...ข้าน้อยหมายความว่า ถ้าหากอ๋องหรงมีใจเข้าหาแม่นางเจาเสวี่ย แล้วฮูหยินอาวุโสรู้เข้า เกรงว่าจะมีปัญหาขึ้นมาอีกคราเป็นแน่” เหตุการณ์ในตอนนั้น...เกือบจะไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาเสียแล้ว ดีที่ติ้งเป่ยโหวกลับมาถึงจวนได้ทันเวลา

คำพูดของไป๋กัวจ้าวเป็นเหมือนเสียงระฆังที่ปลุกให้ติ้งเป่ยโหวตื่นขึ้น

“ฮูหยินอาวุโสไม่เคยเห็นท่านเป็นลูกชายของนาง ของดีๆ ในสายตาของนางล้วนแจกจ่ายให้ลูกหลานแท้ๆ!” ไป๋กัวจ้าวพ่นคำพูดที่ซ่อนไว้ในใจมาเนิ่นนาน

สีหน้าของติ้งเป่ยโหวยิ่งมืดทะมึนลง เขากำหมัดแน่น “ข้าจะไม่ยอมให้นางเดินตามทางของไป๋ชิงหลิง ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายเจาเสวี่ย”

โฉมสะคราญงามกระจ่างภายใต้แสงเทียน

สีหน้าที่อ่อนแอและคับข้องใจของไป๋ชิงหลิงนั้นแปรเปลี่ยนไปแล้ว ยามนี้ใบหน้าของนางเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง

นางกวาดตามองบาดแผลที่หัวไหล่พลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย...

ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของนาง เริ่มจากลดทอนกำลังหลักของฮูหยินอาวุโสโดยการขจัดบ้านรองออกไป แล้วนางจะค่อยๆ จัดการคนที่เหลืออยู่

ตำแหน่งสูงสุดในจวนโหว ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องหวนคืนสู่บิดาของนาง

และสิ่งนี้ก็เป็นความปรารถนาของไป๋ชิงหลิงเจ้าของร่างเดิมมาช้านานแล้ว ซึ่งก่อนตายนั้น เจ้าของร่างเดิมไม่สามารถลุล่วงได้ ในเมื่อนางยึดครองร่างของเจ้าของเดิมแล้ว นางเต็มใจที่เติมเต็มความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จนี้

เสียงลมหนาวพัดโชยดังเสียดหูอยู่นอกหน้าต่าง ไป๋ชิงหลิงค่อยๆ ขยับตะเกียง และลุกขึ้นเพื่อจะลงกลอนหน้าต่าง

ทันทีที่สลักกลอนถูกดึงออก หน้าต่างก็ถูกดันอย่างรุนแรง จากนั้นบานหน้าต่างก็ถูกเปิดออก

ไป๋ชิงหลิงสะดุ้งตกใจและผงะก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว

หรงเยี่ยในชุดคลุมสีดำมืดลอยลงมาจากทางหน้าต่าง

ลมหนาวนอกหน้าต่างพัดผ่านเข้ามา ไป๋ชิงหลิงที่สวมเสื้อผ้าบางๆ รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ

“ทำไมท่านถึงได้อยู่ที่นี่?”

ใช่ นางลืมไป สิบวันแล้วที่หรงเยี่ยไม่ได้บุกเข้าห้องส่วนตัวของนาง จนทำให้นางคิดไปเองว่า อ๋องหรงเลิกสนใจนางไปแล้ว

นางจึงไม่ได้ระแวดระวัง

เขาหันหลังกลับ ปิดบานหน้าต่าง และลงสลักให้แน่น

ไป๋ชิงหลิงขมวดคิ้วขึ้นแล้วรีบเดินไปที่ข้างๆ เขา “ท่านรีบกลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านแต่เช้า คืนนี้ให้ข้าได้พักผ่อนดีๆเถอะ”

หรงเยี่ยหันหลังกลับมา และเอื้อมมือมาเลิกเสื้อผ้าของนางออก

นางก้าวถอยหลังหนี แต่กลับถูกหรงเยี่ยดึงกลับเข้าไปในอ้อมกอด “ให้ข้าดูหน่อย”

“ท่านอย่าได้สนใจเรื่องของข้าเลย ท่านรีบไปเสียเถอะ” ไป๋ชิงหลิงออกแรงผลักเขา

แต่เขากลับกดนางแนบกับหน้าต่าง และบังคับดึงเสื้อของนางออก ไหล่ซ้ายของนางมีผ้าพันแผลประกบอยู่

ไป๋ชิงหลิงมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ “ก็เห็นแล้วนี่ ท่านไปได้แล้ว”

หรงเยี่ยไม่เพียงไม่ยอมปล่อยนาง แต่ทั้งร่างของเขากลับกดทับนางเอาไว้

ไป๋ชิงหลิงเปล่งเสียงฮึออกมาอย่างไม่พอใจ และสูดลมหายใจถี่ๆ

เวลานี้ ชายหนุ่มก็ได้เอ่ยขึ้น “วันนี้ที่งานเลี้ยงจวนตระกูลเสิ่น...”

ร่างของนางแข็งทื่อและมองไปที่เขาด้วยความงุนงง “ข้าทำเอง ล้วนเป็นข้าที่สอนให้องค์หญิงทำเช่นนั้น พอใจแล้วหรือยัง ท่านจะจับข้าไปที่ศาลต้าหลี่และกักขังข้าไว้เพื่อทวงความยุติธรรมให้ตระกูลเสิ่นและจวนติ้งเป่ยโหวหรือไม่!”

“กลัวแล้วล่ะสิ!”

นางเบือนหน้าหนีไม่สนใจเขา

ทันใดนั้น หรงเยี่ยก้มตัวลง มือทั้งสองขอเขาช้อนใต้สะโพกของนางและอุ้มนางขึ้นทันที

ไป๋ชิงหลิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ มือทั้งสองของนางวางอยู่บนไหล่ของเขา นางก้มลงมองเขา ใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที

ท่าทีเช่นนี้ของเขา เหมือนกันกับยามที่เขาอุ้มจิ่งหลินและเซิงเอ๋อร์

แต่...ยามที่เขาอุ้มนาง อุณหภูมิของห้องกลับสูงขึ้นในฉับพลันและคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความคลุมเครือ

นิ้วมือของของนางจิกเสื้อผ้าของเขาแน่น เสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย “ท่าน...ท่านปล่อยข้าลงนะ”

เขาไม่ขยับ แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองนาง ผมยาวของทั้งสองปะป่ายพันกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน “หมั่นพาหลวนอี๋ออกไปบ่อยๆ นางจะได้ฉลาดขึ้น”

เอ่อ...

เขาไม่ได้มาเพื่อกล่าวโทษที่นางพาหลวนอี๋ทำเรื่องไม่ดีหรอกหรือ?

“เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล?”

“พาองค์หญิงไปเที่ยวเล่น มีรางวัลให้ด้วยหรือ?” ไป๋ชิงหลิงถามด้วยความประหลาดใจ

“มีสิ” หรงเยี่ยพยักหน้า “คิดออกแล้วค่อยบอกข้า”

“ไม่เห็นต้องคิดเลย ให้เงินข้าสิ ข้าอยากจะซื้อหอหลิวเหยียน แล้วปรับปรุงให้เป็นโรงหมอเล็กๆ ท่านอ๋องยินดีจะให้ข้าไหมเจ้าคะ?” ไป๋ชิงหลิงหรี่ตาลง ภายในดวงตาฉายแววแห่งความเจ้าเล่ห์

หากว่าเขายอมให้ นางก็จะประหยัดสมองและเงินทองได้มากมาย

แต่หากเขาไม่ให้ ก็ไม่เป็นไร นางค่อยๆ เก็บสะสมเอาเองก็ได้

“ยินดี...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น