ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 140

ไป่ชิงหลิงขมวดคิ้วแน่นด้วยความแปลกใจ

เพราะก่อนที่นางจะออกมาจากที่นั่น นางก็ได้ถอนพิษให้กับไป๋จิ่นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมไป๋จิ่นถึงหมดสติไปอีกล่ะ...

“คือว่า… ก่อนหน้านี้คุณชายจิ่งได้วางกับดักไว้ตรงหน้าประตู เพื่อหวังจักทำให้พระชายาต้วนได้ชดใช้ในสิ่งที่นางเคยกล่าวไว้กับคุณชายจิ่ง ว่านางอิจฉาแม่นางที่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้เจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงหลิงจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วพูดขึ้นว่า “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง”

“ที่แท้นางก็แค่วิงเวียนเพราะถูกกับดักกระสอบทรายของคุณชายจิ่งนี่เอง โล่งอกไปทีนะเจ้าคะ” ชิงอีกล่าว

“ฮุ่ยหลาน เจ้าไปเอาตัวอย่างพิษที่เพิ่งถูกขับออกจากร่างคุณชายน้อยมาให้ข้าที!” เพราะบางที นางอาจต้องขอยืมตัวหมอเทวดาซูจากท่านอ๋องหรงเพื่อการนี้

หมอเทวดาซู ถือเป็นแพทย์หลวงที่มีวิชาแก่กล้าที่สุดท่านหนึ่ง

มิเช่นนั้น หรงเยี่ยเองก็คงไม่ขอให้หมอเทวดาซูคอยประจำอยู่ในจวนอ๋องหรงมาจนถึงบัดนี้

และถึงแม้ว่าพิษในร่างกายของคุณชายจิ่งจะยังขับออกมาไม่หมด แต่หมอเทวดาซูก็ได้ยืนยันเป็นหนักเป็นหนา ว่าร่องรอยของพิษร้ายจะไม่สามารถแผลงฤทธิ์ใด ๆ ได้อีก

ดังนั้นสิ่งที่นางต้องทำต่อจากนี้…

คือนางต้องไปขอให้หรงเยี่ยช่วย

ไม่ว่าหรงเยี่ยจะยอมช่วยนางหรือไม่ก็ตาม...

เมื่อไป๋ชิงหลิงได้ตัวอย่างพิษมาจากฮุ่ยหลานแล้ว นางจึงรีบไปพาชงเซิงเข้านอน ก่อนจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเอ๋อร์ซืออีกครั้ง

ณ จวนท่านอ๋องต้วนในเช้าวันต่อมา

บรรยากาศในจวนท่านอ๋องต้วนวันนี้ แลดูคึกคักกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด และถึงแม้ว่าพระสนมเอกหรงจะไม่ชอบความเอิกเกริกสักเท่าไร แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า องค์หญิงผิงหยางและคุณหนูจากตระกูลหวู่นั้น ล้วนมาจากต้นตระกูลที่สูงศักดิ์และมีเกียรติด้วยกันทั้งนั้น

แถมพิธีวิวาห์ในครั้งนี้ ยังต้องถูกจัดขึ้นในจวนอ๋องต้วนที่เดียวเท่านั้น ดังนั้นทุกสิ่งอย่างในพิธีวิวาห์ จึงต้องถูกจัดเตรียมด้วยความประณีตและยิ่งใหญ่อลังการอย่างที่มันควรจะเป็น

และนอกจากคนทั้งจวนอ๋องฮุ่ยและจวนหวู่กั๋วกงจะแห่กันมาที่จวนอ๋องต้วนแล้ว

ไป๋ชิงหลิงเองก็ได้รับเทียบเชิญจากหรงเยี่ยให้มาร่วมเฉลิมฉลองกับงานมงคลในครั้งนี้ด้วย

ทันทีที่รถม้าของไป๋ชิงหลิงเคลื่อนตัวมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องต้วน

ไป๋ชิงหลิงจึงค่อย ๆ แง้มม่านออกดูอย่างช้า ๆ ก่อนจะพบว่าบริเวณหน้าประตูจวนในตอนนี้ เต็มไปด้วยรถม้าอีกหลายสิบคันที่กำลังจอดเรียงรายกันอยู่ แถมปากทางเข้าจวนยังเต็มไปด้วยเหล่าองครักษ์ที่กำลังยืนคุ้มกันทางเข้าออกกันอย่างแน่นหนา

“หากจวนท่านอ๋องต้วนได้ครอบครองหญิงงามทั้งสองนางนี้ จวนท่านอ๋องต้วนเองก็จะได้รับการสนับสนุนจากจวนอ๋องฮุ่ยและจวนหวู่กั๋วกงในทุกด้าน แล้วแบบนี้มันจักมิเป็นปัญหาต่อตัวพระองค์ในภายภาคหน้าหรือเพคะ” ไป๋ชิงหลิงเอ่ยถาม

หรงเยี่ยจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หากเป็นข้า ข้ามิยอมแต่งงานกับหญิงเสียสติพวกนั้นเพื่อแลกกับความก้าวหน้าหรอกนะ ข้าขอผ่านดีกว่า!”

ไป๋ชิงหลิงได้ฟังก็หัวเราะร่าออกมาทันทีด้วยความขบขัน

“พระองค์ทรงแน่ใจหรือเพคะ ว่าพวกนางเป็นหญิงเสียสติจริงอย่างที่คนเขาลือกัน”

หรงเยี่ยจึงค่อย ๆ ยื่นหน้าหล่อ ๆ เข้าหาไป๋ชิงหลิง แล้วบอกกับนางอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ามิสนใจหรอกหนา ว่าพวกนางจักเป็นเช่นไร เพราะทั้งชีวิตนี้ ข้าสนใจแค่เจ้า... เพียงผู้เดียว”

ลมหายใจอันเร่าร้อนของเขาปะทะเข้ากับใบหน้าของไป๋ชิงหลิง จนเป็นเหตุให้ใบหน้าของไป๋ชิงหลิงเริ่มแดงก่ำขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “เรารีบลงจากรถกันเถิดเพคะ”

หรงเยี่ยจึงรวบตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน จนนางไม่สามารถลุกหนีออกไปได้ทัน

ไป๋ชิงหลิงจึงสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้า และบอกกับเขาว่า

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอ… ยืมตัวคนคนหนึ่งจากท่านอ๋องได้หรือไม่เพคะ?”

“ใครรึ!”

“หมอเทวดาซูเพคะ” ไป๋ชิงหลิงกล่าว

“ได้สิ!”

ง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ!?

“หากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็ขอให้บอกมาเถิด”

การที่เขาอนุญาตให้ไป๋ชิงหลิงยืมตัวหมอเทวดาซู ก็ถือเป็นการช่วยชีวิตลูกชายของนางด้วย

ดังนั้นไป๋ชิงหลิงจึงตั้งปณิทานไว้กับตัวเองเลยว่า นางจะไม่มีวันมองข้ามหรงเยี่ยเป็นอันขาด

“หากมันทำให้เจ้ามีความสุข

ข้ายอมทุกอย่าง…” ไป๋ชิงหลิงตกตะลึงจนตาค้าง

ในขณะที่หรงเยี่ยนั้นยังคงจ้องมองริมฝีปากของนางด้วยแววตาหยาดเยิ้ม

แล้วหรงเยี่ยก็ค่อย ๆ บรรจงจูบนางเบา ๆ ก่อนจะผละออกมา แล้วบอกกับนางว่า“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าอะไรที่เจ้ามิชอบ ข้าก็จักมิทำ... ข้ามิเคยคิดที่จักคืนคำหรอกหนา”

ไป๋ชิงหลิงยังคงตกตะลึงไม่หาย

เพราะตลอด 2-3 วันที่ผ่านมานี้ หรงเยี่ยมิได้ตามติดนางเหมือนอย่างทุกที แถมเขายังยอมให้นางอยู่ดูแลเอ๋อร์ซืออย่างเต็มที่ด้วยอีกต่างหาก

นี่เขา… ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของนางมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

แต่แล้วจู่ ๆ หรงเยี่ยก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “แต่ถ้าหากข้าเห็นเจ้าอยู่กับชายอื่นอีกล่ะก็…

ข้าจักจับมันหักขาต่อหน้าเจ้าเลย”

ไป๋ชิงหลิงจึงสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง และจ้องมองเข้าไปในตาของหรงเยี่ยด้วยความดุดัน

เพราะการกระทำของเขานั้น มันเหมือนว่าเขากำลังพยายามเอาชนะใจนางอยู่ตลอดเวลา

และบังเอิญว่าเขาเองก็มีเวลาว่างมากพอที่จะทำคะแนนกับนางด้วย

พอคิดได้ดังนั้น มันก็ยิ่งทำให้ไป๋ชิงหลิงหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด

เพราะแค่คำพูดไม่กี่คำของเขา มันก็ทำให้ใจของนางเต้นรัวได้อย่างไม่มีเหตุผล

“เช่นนั้น หม่อมฉันขอตัวลงจากรถก่อนนะเพคะ”

“อื้ม” หรงเยี่ยพยักหน้าตอบรับ โดยไม่มีทีท่าว่าจะฉุดรั้งนางไว้เหมือนในทีแรก

ไป๋ชิงหลิงเห็นดังนั้น จึงรีบวิ่งลงจากรถม้า เพื่อไปพาชงเซิงลงจากรถม้าอีกคันทันทีอย่างรวดเร็ว

ซึ่งหรงจิ่งหลินเองก็ยังต้องคอยอยู่ในรถม้าต่อไปอีกสักพัก

เนื่องจากไป๋ชิงหลิงยังคงเป็นกังวลว่า ถ้าหากมีใครเห็นนางอยู่กับหรงจิ่งหลิน หรงจิ่งหลินอาจได้รับอันตรายเพราะนางก็เป็นได้

และถึงแม้ว่าพิธีวิวาห์จะถูกจัดขึ้นในลานกว้างกลางจวนอย่างยิ่งใหญ่

แต่ภัยอันตรายที่ไป๋ชิงหลิงกำลังระแวง อาจจะพุ่งเข้ามาจากทิศทางไหนในงานพิธีก็ได้

“ชงเซิง อยู่ใกล้ ๆ แม่ไว้นะลูก อย่าเดินไปไหนคนเดียวเด็ดขาด”

ไป๋ชิงหลิงพูดพลางนึกถึงหน้าของหรงฉีและไป๋จิ่น

เพราะนางเชื่อเหลือเกินว่า คนอย่างไป๋จิ่นนั้นทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการต้องปลิดชีพเด็กน้อยคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับนาง...

และถ้าหากมีเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นเกิดขึ้นในจวนท่านอ๋องต้วนเข้าจริง ๆ จวนท่านอ๋องต้วนก็คงต้องถูกสอบสวนโดยองค์จักรพรรดิเหยาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ไป๋ชงเซิงจึงพยักหน้า และตอบกลับไปว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”

แต่ทันทีที่ไป๋ชิงหลิงจูงลูกน้อยเข้าไปในงาน นางก็ดันได้เจอเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินผ่านเข้ามาพอดี

ไป๋ชิงหลิงจึงคว้าแขนของลูกน้อยไว้มั่น ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า

ซึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ ก็คือฮูหยินรอง แม่ของไป๋หมิงอวี้นั่นเอง

ส่วนคนที่ยืนขนาบข้างนางในตอนนี้ มิใช่ไป๋หมิงอวี้

แต่เป็นไป๋หมิงจูและไป๋หมิงฮุ่ย ผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวอีกสองคนของนางต่างหาก!

แถมเบื้องหลังของพวกนาง ยังมีบ่าวรับใช้คอยติดตามมาอีกเป็นขโยง

แต่พอฮูหยินรองได้เจอกับไป๋ชิงหลิง

นางก็ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าไป๋ชิงหลิง แล้วเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงยังมิตาย!”

ไป๋ชิงหลิงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “อาจเป็นเพราะนรกภูมิต้องการดวงวิญญาณของน้องสามมากกว่าข้ากระมังเจ้าคะ”

“เจ้า… เจ้ามันตัวกาลกิณี เจ้าทำให้หมิงอวี้ของข้าต้องตาย!” แม่นางหลี่เริ่มควบคุมสติของตนไม่อยู่

จนไป๋หมิงจูต้องรีบฉุดรั้งนางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหันมองไปยังไป๋ชิงหลิงด้วยสายตารังเกียจ แล้วพูดขึ้นว่า “พระเจ้าคงจักมิมีอยู่จริง มิเช่นนั้นเจ้าคงได้ลงไปชดใช้กรรมอยู่ในนรกนั่นแล้ว... เจ้านั่นแหละ ที่สมควรตายอยู่ในทะเลสาบนั่น”

“ปัดโธ่น้องหมิงจู วันนี้มันเป็นวันมงคลของท่านอ๋องต้วนเชียวนะ เจ้าอย่าเอาเรื่องอัปมงคลเข้ามาให้เป็นกาลกิณีของจวนท่านอ๋องต้วนเลยจักดีกว่า”

“เจ้าอย่าไปเสียเวลาใส่ปากกับมันเลย” แม่นางหลี่กล่าวเตือนบุตรสาว

เพราะแค่คำพูดไม่กี่คำของไป๋ชิงหลิง ก็ยังทำให้ครอบครัวของนางต้องกระเด็นออกมาจากจวนติ้งเป่ยโหวได้

และจนถึงตอนนี้ แม่นางหลี่เองก็ยังปักใจเชื่ออยู่ว่า ไป๋ชิงหลิงจะต้องมีเอี่ยวกับเหตุการณ์อันน่าบัดสีในครั้งนั้นแน่

แต่ด้วยความที่นางไม่สามารถหาหลักฐานมาเอาผิดไป๋ชิงหลิงได้ นางจึงต้องคอยจิกกัดไป๋ชิงหลิงเช่นนี้ จนกระทั่งไป๋ชิงหลิงจมหายไปกับทะเลสาบ

“เช่นนั้น ข้าต้องขอตัวพาเซิงเอ๋อร์ไปเดินดูรอบ ๆ จวนก่อนนะเจ้าคะ ฮูหยินกับน้อง ๆ จักได้มิต้องเสียเวลาไปกับข้าด้วย”

พูดจบ ไป๋ชิงหลิงก็จูงมือชงเซิงเดินผ่านสามแม่ลูกไปในทันที

และด้วยความที่แม่นางหลี่ไม่สามารถตอบโต้ไป๋ชิงหลิงต่อหน้าแขกเหรื่อคนอื่น ๆ ได้ นางจึงทำได้เพียงแค่มองตามหลังไป๋ชิงหลิงด้วยความเคียดแค้นจนตาแดงก่ำ

แต่แล้วจู่ ๆ แม่นมอันก็ตรงเข้ามาหาแม่นางหลี่ต่อทันทีเหมือนตั้งใจ

แม่นางหลี่จึงรีบปรับสีหน้า และยิ้มทักทายแม่นมอันอย่างเป็นมิตร “อ้าวแม่นมอัน ข้ากำลังจักไปเข้าเฝ้าพระชายาต้วนอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ มิทราบว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”

“พระชายาทรงกำลังอยากพบท่านอยู่พอดี ท่านรีบตามข้ามาเถิด”

แม่นางหลี่ได้ฟังก็ยิ้มร่าออกมาในทันใด

เพราะถ้าหากไป๋จิ่นเรียกหานางด้วยตัวเองเช่นนี้ ก็แสดงว่าไป๋จิ่นยังรู้จักบุญคุณของฮูหยินอาวุโสอยู่บ้าง

แต่การที่แม่นางหลี่พยายามเข้าหาไป๋จิ่นมากถึงเพียงนี้ มันเป็นเพราะนางต้องการให้ไป๋จิ่นช่วยพาครอบครัวของนางกลับเข้าสู่จวนติ้งเป่ยโหวให้เร็วที่สุด

มิเช่นนั้น บุตรสาวอีกสองคนของนางก็คงจะขายไม่ออกแล้วจริง ๆ

หรือไม่ นางก็คงต้องอกแตกตาย ถ้าหากว่าลูกของนางต้องแต่งงานกับคนรากหญ้าตามท้องตลาด

หลังจากที่แม่นางหลี่พาบุตรสาวทั้งสองของนางมาถึงหน้าหอจิ่นเซวียน ไป๋หมิงจูก็ดันเผลอเหม่อมองไปยังศาลาริมน้ำฝั่งตรงข้าม

ซึ่งกำลังถูกชายร่างสูงผู้หนึ่งจับจอง แถมมือข้างหนึ่งของเขา ยังกุมมือเด็กชายตัวน้อยไว้แน่น จนไป๋หมิงจูสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่กำลังแผ่ซ่านมาจนถึงหน้าหอจิ่นเซวียน

แม่นมอันเห็นดังนั้น จึงแอบยิ้มเยาะไป๋หมิงจูในใจด้วยความขบขัน–

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น