เมื่อมาถึงหอลี่ว์เซิน ไป๋ชิงหลิงก็หยุดและพูดกับอิงเหลียนว่า:“ไปตรวจสอบอ๋องฮุ่ย ข้าต้องการรู้เบื้องลึกทั้งหมดของเขา”
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่มีเรื่องราวใด ๆ เกี่ยวกับอ๋องฮุ่ยผู้นี้เลย จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมไม่ได้มีการติดต่อกับอ๋องฮุ่ย
แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา นางพอจะเคยได้ยินพฤติกรรมของอ๋องฮุ่ยผู้นี้อยู่บ้าง
เพียงแต่เป็นเรื่องจุกจิกเล็กน้อยเท่านั้น
นางไม่อยากให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย และไม่อยากถูกบีบบังคับ จึงต้องหาทางตอบโต้
อิงเหลียนกล่าวว่า:“นายท่านต้องการให้ข้าน้อยติดตามท่านไปทุกย่างก้าว ผู้น้อยอาจจะไปช้าหน่อยนะขอรับ”
“ไม่ต้อง เจ้าไปเดี๋ยวนี้เลย เรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก เกรงว่าหากชักช้าจะไม่ทันการ”
วันนี้ผู้สูงศักดิ์ล้วนแต่อยู่ที่นั่น อ๋องต้วนกับไป๋จินคงไม่กล้าที่จะลงมือฆ่านางอีก
อิงเหลียนยังคงเป็นกังวล
ไป๋ชิงหลิงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเคร่งขรึม:“ยังมีซังจวี๋ ชิงจู๋ และซวงเหมยอยู่ข้างกายข้า พวกนางเหมาะที่จะเป็นสาวใช้ข้างกายข้ามากกว่า เจ้ารีบไปได้เถอะ”
อิงเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองซังจวี๋ที่อยู่ข้างหลังไป๋ชิงหลิง
ไม่เข้าตาเอาเสียเลย
ชิงจู๋มีอุปนิสัยที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อน เมื่อเห็นสายตาที่ดูถูกของอิงเหลียน นางก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า:นายท่านของพวกเรา พวกเราดูแลเองได้ ในเมื่อท่านอ๋องหรงยกเจ้าให้กับนายท่านของข้าแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ท่านอ๋องหรงก็ไม่ใช่เจ้านายของเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟังนายท่านของข้า”
“เจ้า——”
“หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามกฎของข้า เช่นนั้นก็กลับไปเสีย” แม้ว่าคำพูดของชิงจู๋จะค่อนข้างมีอคติ แต่ก็ไม่ได้ผิดทั้งหมด
ตอนนี้นางต้องการให้ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำช่วยนาง
แต่ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำผู้นี้ มีเพียงนายท่านคนก่อนของเขาอยู่ในสายตา เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องการ
อิงเหลียนก้มหน้าและคำนับ:“ขอรับ”
หลังจากพูดจบ อิงเหลียนก็หันหลังเดินจากไป
ซังจวี๋ยื่นมือออกมาดึงชิงจู๋:“ชิงจู๋ เจ้าให้เกียรติผู้อื่นหน่อย อย่าทำให้แม่นางลำบากใจ”
“เขาดูถูกพวกเรา ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำช่างไม่ธรรมดา” ชิงจู๋ไม่ยอม
ซวงเหมยลูบคมดาบของตนเองเบา ๆ แล้วตีชิงจู๋:“ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำนั้นเก่งกาจ ในตอนนั้นพวกเขาติดตามอ๋องหรงไปออกรบ ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำที่สามารถกลับมายังเมืองหลวงได้ ล้วนเป็นผู้ที่รอดพ้นจากความตาย”
ไป๋ชิงหลิงถอนหายใจ ดีที่ซวงเหมยยังคงเข้าใจ
“พวกเจ้าอย่าทะเลาะกัน เดี๋ยวผู้อื่นจะคิดว่าพวกเจ้าไม่สามัคคีกัน”
ทั้งสามคนตอบพร้อมกันว่า:“เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงหลิงทิ้งพวกนางไว้นอกข้างนอก และเดินไปที่หอลี่ว์เซินเพียงลำพัง
คนของจวนกั๋วกงล้วนอยู่ที่นั่น แม้แต่พระชายาสามที่เพิ่งแต่งงานกับท่านอ๋องสามเมื่อต้นปีก็ยังนั่งรออยู่บนเก้าอี้นวมด้วย
ไป๋ชิงหลิงเดินเข้าไปและคำนับพระชายาสาม
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ พระชายาสามรีบตะโกนด้วยสีหน้าบูดบึ้งในทันทีว่า:พระชายาสามทรงรอท่านอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่ท่านก็ยังเอ้อระเหยลอยชาย เป็นเพราะท่านไม่มีความชำนาญในวิชาแพทย์ จึงไม่กล้าก้าวเข้ามา หรือว่าท่านไม่เห็นพระชายาสามและจวนอู๋กั๋วกงอยู่ในสายตา”
เส้าชุ่ยสาวใช้ที่หน้าตาสะสวยและรูปร่างอรชรกล่าว
นางตำหนิไป๋ชิงหลิงด้วยใบหน้าที่ดูเคร่งขรึม
แต่ไม่มีใครในจวนในจวนกั๋วกงพูดแทนไป๋ชิงหลิงเลย
ไป๋ชิงหลิงรู้ดีว่าคนในจวนในจวนกั๋วกง ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้ ทำได้เพียงแสดงอำนาจข่มนางเท่านั้น
พระชายาสามเป็นคุณหนูสี่ของจวนกั๋วกง และนางก็เป็นหน้าเป็นตาให้กับจวนกั๋วกงด้วย
“วิชาแพทย์ของข้าชำนาญหรือไม่ชำนาญ ท่านอู๋กั๋วกงกับฮูหยินอาวุโสยังเข้าใจ แล้วเจ้าจะสงสัยอะไร?”
เส้าชุ่ยสีหน้าเปลี่ยนในทันที
ไป๋ชิงหลิงกล่าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกคนในจวนกั๋วกงว่าพระชายาสามของพวกนางสงสัยการตัดสินใจของท่านอู๋กั๋วกงกับฮูหยินอาวุโส
ไม่คิดเลยว่าหญิงผู้นี้จะไม่ธรรมดา
“ท่านยังจะกล้าเถียง”
“วันนี้ข้าไม่ได้รับคำสั่งให้มารักษาพระชายารองหวู่ จึงไม่ต้องอยู่เพื่อตรวจชีพจรให้พระชายารองหวู่ หากจวนอู๋กั๋วกงนึกเสียใจภายหลัง เช่นนั้นเจอกันด้วยดีก็ขอให้จากกันด้วยดี ไม่จำเป็นต้องให้คนรับใช้มาแสดงอำนาจข่มข้า พวกเราเป็นคนเปิดเผยไม่พูดลับ ๆ ล่อ ๆ พระชายารองหวู่จะหายดีหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่เกี่ยวพันอย่างมากกับจวนกั๋วกงของพวกท่าน มีคำกล่าวมาแต่ไหนแต่ไรว่าผู้ที่วิกลจริตมิอาจมีบุตรไว้สืบสกุลได้”
กล่าวได้ว่าคำพูดของไป๋ชิงหลิงกระทบกระเทือนจิตใจคนในจวนกั๋วกง
เดิมทีพวกเขาละทิ้งหวู่ไหวเมิ่งไปแล้ว
แต่ไม่คิดว่าหวู่ไหวเมิ่งจะได้แต่งงานกับอ๋องต้วน แน่นอนว่าพวกเขาหวังว่าหวู่ไหวเมิ่งจะกลับมาเป็นปกติ
และสามารถให้กำเนิดทายาทของอ๋องต้วนได้
แต่สีหน้าของพระชายาสามดูไม่ค่อยพอใจนัก
หากพระชายารองหวู่หายเป็นปกติ เช่นนั้นเกรงว่าจวนกั๋วกงคงจะไม่สนับสนุนท่านอ๋องสามอย่างเต็มที่
ท่านอ๋องสามมีอำนาจไม่มากนัก และตระกูลของพระมารดาก็อ่อนแอมาก หากไร้ซึ่งการสนับสนุนของจวนกั๋วกง แล้วจะต่อสู้กับพวกอ๋องต้วนได้อย่างไร
แต่……กิ่งใบมะกอก [1] ที่ไป๋ชิงหลิงขว้างมานั้นตรงกับเจตนาของจวนกั๋วกง
ในเวลานี้ฮูหยินอาวุโสตระกูลหวู่มองไปที่พระชายาสาม:“พระชายาสาม เจ้าไม่ได้กลับมาเยี่ยมข้าที่จวนกั๋วกงนานแล้ว ตามข้าไปที่ห้องด้านข้าง ข้าจะพาเจ้าไปรำลึกถึงเสด็จแม่ของเจ้า
หวู่ซือหลิงเก็บซ่อนความไม่พอใจที่มีต่อฮูหยินอาวุโสตระกูลหวู่ และหันไปตำหนิสาวใช้:“เจ้ากล้าสงสัยหมอที่จวนกั๋วกงเชิญมาอย่างนั้นหรือ พระชายารองหวู่ได้หมอเทวดาเช่นนี้มารักษา ถือเป็นความโชคดีของนาง ไสหัวออกไป แล้วลงโทษตนเองด้วยการตบปากยี่สิบที เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
“เจ้าค่ะ” เส้าชุ่ยไม่กล้าทำอีกและรีบออกไป
หลังจากที่หวู่ซือหลิงตำหนิเส้าชุ่ยแล้ว นางก็ช่วยประคองฮูหยินอาวุโสตระกูลหวู่จากไป
อู๋กั๋วกงไม่ชอบที่ลูกหลานคนอื่น ๆ มาแออัดกันอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงไล่พวกเขาทั้งหมดออกไป และเหลือเพียงแค่ตนเอง
“ท่านหมอไป๋ พระชายารองหวู่อยู่ที่ห้องด้านใน”
ไป๋ชิงหลิงย่อตัวลงเล็กน้อยและตามอู๋กั๋วกงไปที่ห้องด้านใน
เมื่อเห็นไป๋ชิงหลิง พระชายารองหวู่ก็ตื่นตระหนกมาก:“ท่านรักษาข้าได้จริง ๆ หรือ”
“พระชายารองหวู่ ความวิกลจริตมีมากมายหลายอย่าง ข้าต้องตรวจหาสาเหตุของท่านเสียก่อน” ไป๋ชิงหลิงนั่งบนเก้าอี้สี่ขาข้างเตียงและกดลงมือบนข้อมือของพระชายารองหวู่
จากนั้นก็เริ่มถาม
“พระชายารองหวู่มีอาการป่วยตั้งแต่เมื่อใด?”
สีหน้าของอู๋กั๋วกงทรุดลงเล็กน้อยและกล่าวว่า:“ต้องถามเกี่ยวกับเรื่องในอดีตด้วยหรือไม่?”
ไป๋ชิงหลิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่ใบหน้าที่หวั่นวิตกของอู๋กั๋วกง
ข่าวลือ;พระชายารองหวู่ตกลงมาจากหลังม้าและกลายเป็นคนวิกลจริต
ดูจากสีหน้าของอู๋กั๋วกงในตอนนี้แล้ว เบื้องหลังของความวิกลจริตนี้ เกรงว่าจะมีความลับที่มิอาจเปิดเผยได้
“ท่านอู๋กั๋วกงสามารถกล่าวย่อ ๆ ก็ได้ว่าพระชายารองหวู่เกิดความผิดปกติตั้งแต่เมื่อใด” ไป๋ชิงหลิงไม่กล้าที่จะบีบคั้นมากเกินไป
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ต้องการทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย
แม้ว่าอู๋กั๋วกงจะรับปากว่าจะไม่ทำให้นางต้องรับผิดชอบ
แต่การที่จวนกั๋วกงสามารถสืบทอดความรุ่งเรืองจากราชวงศ์ในอดีตได้ ย่อมเป็นวิธีการที่มั่นคง
เช่นนั้นการที่เขาจะบดขยี้นางให้ตายก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“หลังจากตกลงมาจากหลังม้าเมื่อสามปีก่อน พระชายารองก็สลบไปกว่าครึ่งเดือน และเมื่อฟื้นขึ้นมา นางก็จำอะไรไม่ได้ บางครั้งเมื่อเห็นคนหรือสิ่งของบางอย่าง นางก็จะคลุ้มคลั่ง” อู๋กั๋วกงพูดในสิ่งที่สามารถพูดได้
หลังจากที่ไป๋ชิงหลิงได้ฟัง นางก็ไม่ถามอะไรอีก
เพราะนี่ก็เป็นอย่างที่นางได้ยินมา ที่มีมากกว่านั้น……คือความลับของพวกเขาจวนกั๋วกง
ในเวลานี้ไป๋ชิงหลิงยังพบว่าชีพจรของพระชายารองหวู่นั้นแปลกมาก……
ดูเหมือนว่าจะไม่มีความวิกลจริตใด ๆ
เมื่อเห็นว่านางไม่เงียบอยู่นาน อู๋กั๋วกงก็ถามอย่างฉุนเฉียวว่า:“พระชายารองหวู่เป็นอย่างไรบ้าง อาการวิกลจริตนี้สามารถรักษาให้หายได้หรือไม่?”
ไป๋ชิงหลิงปกปิดความผิดปกติบนใบหน้า นางเอามือออกและกล่าวว่า “เมื่อเชื่อมโยงสิ่งที่ท่านอู๋กั๋วกงกล่าว กับชีพจรของพระชายารองหวู่ เมื่อสามปีก่อนหลังจากที่พระชายารองหวู่ตกลงมาจากหลังม้า ที่บริเวณศีรษะมีเลือดคั่ง ซึ่งไม่ได้สลายไปในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ความจำเสื่อม!”
[1] กิ่งใบมะกอกเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...