ยิ่งอู๋กั๋วกงได้ยินประโยคหลัง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าข่าวลือจากโลกภายนอกนั้นไร้สาระมาก
เมื่อสามปีก่อน หมอหลวงฮั่วของสำนักหมอหลวงก็พูดเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถรักษาอาการของพระชายารองหวู่ได้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งความหวังกับหญิงผู้นี้มากเกินไป
“อาการวิกลจริตเป็นเพราะหลังจากที่พระชายารองหวู่ความจำเสื่อม นางได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากการใกล้ชิดกับผู้คนหรือสิ่งต่าง ๆ ที่คุ้นเคย หากต้องการจะรักษาอาการวิกลจริต จะต้องรักษาอาการความจำเสื่อมของพระชายารองหวู่เสียก่อน”
ไป๋ชิงหลิงพูดจนจบด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
นางจะไม่พูดถึงอะไรที่ไม่เกี่ยวกับอาการวิกลจริต
“รักษาอาการความจำเสื่อม พูดง่ายแต่ทำยาก แม้กระทั่งหมอหลวงฮั่วก็จนปัญญา” อู่กั๋วกงกล่าว
ไป๋ชิงหลิงก็ยอมรับคำพูดของเขาเช่นกัน:“เป็นจริงเช่นนั้น ข้าจะสั่งยาเพื่อสลายเลือดคั่ง ให้พระชายารองหวู่เสวยให้ตรงเวลา ส่วนจะสามารถสลายเลือดคั่งเพื่อฟื้นฟูความทรงจำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนาง”
“นี่คงเป็นวิธีเดียว” หลังจากพูดจบ อู่กั๋วกงก็ถอนหายใจ
ไป๋ชิงหลิงลุกขึ้น ทันใดนั้นพระชายารองหวู่ก็คว้าแขนเสื้อของนางไว้
ไป๋ชิงหลิงหันหลังไปมองในทันที
และเห็นแววตาที่เร่าร้อนพระชายารองหวู่จ้องมองมาที่นาง
มีอารมณ์ที่ซับซ้อนฉายออกมาผ่านแววตาของนาง ไป๋ชิงหลิงเห็นการร้องขอความช่วยเหลือในแววตาของพระชายารองหวู่
นาง……กำลังขอความช่วยเหลือจากตนเอง!
อู๋กั๋วกงรีบผลักพระชายารองหวู่ออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กดนางลงบนเตียง และพูดกับไป๋ชิงหลิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม:“เจ้าไปเขียนใบสั่งยาเถอะ”
“เดี๋ยวข้าจะสั่งยาเพื่อให้พระชายารองหวู่นอนหลับให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้ตื่นมาทำร้ายผู้อื่น” ไป๋ชิงหลิงมองไปที่พระชายารองหวู่ด้วยแววตาที่ราบเรียบ
และใช้คำพูดเพื่อบอกใบ้พระชายารองหวู่ คำว่านอนหลับให้มากขึ้น คืออย่าผลีผลามทำทำร้ายผู้อื่น
พระชายารองหวู่เข้าใจ
นางเผชิญหน้าและหลับตาลง
ไป๋ชิงหลิงเขียนใบสั่งยาและมอบให้อู๋กั๋วกง
เพื่อรักษาคน นางจะเขียนใบสั่งยา จัดยา และต้มยาด้วยตนเองในแต่ละขั้นตอน
แต่สถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าอู๋กั๋วกงจะไม่ยอมให้นางทำด้วยตนเอง
ดูเหมือนว่าหากนางต้องการรู้สาเหตุที่แท้จริงของพระชายารองหวู่ นางต้องหาโอกาสที่จะได้อยู่กับพระชายารองหวู่ตามลำพัง
ในตอนเย็น อู่กั๋วกงให้คนไปส่งไป๋ชิงหลิงออกไปจากจวนอ๋อง
เพราะเกรงว่านางจะใกล้ชิดกับพระชายารองหวู่มากเกินไป
เมื่อไป๋ชิงหลิงเดินออกจากประตูด้านข้างของจวนอ๋อง ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง
นางยังไม่ทันได้ตอบโต้ อีกฝ่ายก็เดินมาข้างหน้าและโอบเอวของนาง จากนั้นก็พานางกระโดดขึ้นไปบนหลังคาสูง
ไป๋ชิงหลิงอุทานด้วยความตกใจ:“ท่าน……ท่านปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้าลง……”
“เจ้ากอดข้าไว้” หรงเยี่ยกอดเอวของนางไว้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้นางดิ้นจนตกลงไป
ไป๋ชิงหลิงไม่สามารถสนใจอะไรได้มากนัก และยื่นมือออกไปโอบเอวของเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา และไม่กล้าที่จะมองลงไป
หร่งเยี่ยตัวสั่นเล็กน้อย และก้มลงไปมองผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในอ้อมแขน ดวงตาของเขาหรี่ลง
นางกอดเขาเป็นครั้งแรก
เขารู้สึกดีไม่น้อยเลย
“ท่านจะพาข้าไปไหน ข้าจะกลับไปหาเอ๋อร์ซือที่เรือนชิงซิน ท่านแล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” ไป๋ชิงหลิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและไม่กล้าที่จะขยับ
หรงเยี่ยไม่สนใจนาง
ร่างของเขาลอยขึ้นสูงและต่ำ เหาะข้ามบ้านเรือนและต้นไม้ไปยังที่ค่ายทหารซีเซี่ยว จากนั้นก็ปล่อยให้ไป๋ชิงหลิงลง
เขาจับมือของไป๋ชิงหลิงเดินเข้าไปข้างใน
“ท่านอ๋องหรง ท่านกำลังทำอะไร ข้าเป็นคนนอกจะเข้าไปในค่ายทหารได้อย่างไร” ได้ยินมาว่าคนนอกที่เข้ามาไปในค่ายทหารจะต้องถูกตัดหัว
นางยังไม่อยากตาย
เขาโอบเอวของนางและกอดนางไว้แน่นในอ้อมแขน จากนั้นก็กล่าวว่า:“ข้าต้องการเจ้า!”
ต้องการนาง……
เขามีความคิดที่จะทำมิดีมิร้ายกับนางในค่ายทหาร
วันนี้ที่จวนอ๋องต้วน นางชิงไหวชิงพริบกับอู๋กั๋วกงก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำว่า “ต้องการ” ใบหน้าของไป๋ชิงหลิงก็แดงก่ำอีกครั้งและกล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า:“ไม่ต้องการ ท่านออกไปเถอะ ข้าต้องแข่งกับเวลา”
“อืม” หรงเยี่ยหันหลังออกไปจากกระโจม
เมื่อเห็นว่าเขาออกไปแล้ว ไป๋ชิงหลิงก็หยิบอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นออกมาจากห้วงมิติเวลา
ถ้าลี่ว์อีอยู่ที่นี่ก็คงดี ลี่ว์อีเป็นผู้ช่วยที่ดีของนาง
คราวหน้านางจะพาลี่ว์อีตามมาด้วย
นางต้องไปโรงหมอและรับสมัครคนที่มีความสามารถมาช่วยงานนาง
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนที่ได้มากขึ้น
นางใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการเย็บแผลของผู้บาดเจ็บ และสังเกตอาการของเขาต่ออีกครึ่งชั่วยาม
เมื่อเห็นว่าข้อมูลบนอุปกรณ์การแพทย์เป็นปกติแล้ว ไป๋ชิงหลิงจึงวางใจและเก็บอุปกรณ์ทั้งหมด จากนั้นก็เดินออกไปจากกระโจม
คนที่เฝ้าอยู่นอกกระโจม ไม่ใช่หรงเยี่ย แต่เป็นอิงอู๋:“แม่นางไป๋ ฝ่าบาททรงเสด็จมาที่นี่”
“ให้คนไปคอยเฝ้าผู้บาดเจ็บข้างใน ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
อิงอู๋กวักมือเรียกให้ทหารสองนายมาเฝ้าผู้บาดเจ็บในทันที
หลังจากนั้นอิงอู๋ก็บอกไป๋ชิงหลิงว่าฝ่าบาทต้องการพบนาง
ไป๋ชิงหลิงเดินตามอิงอู๋ไปยังกระโจมใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
“ฝ่าบาท ท่านอ๋อง แม่นางไป๋มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อิงอู๋ยืนอยู่นอกรายงานอยู่นอกกระโจม
เสียงของหรงเยี่ยดังขึ้น:“เข้ามา”
ม่านถูกเปิดในทันที
ไป๋ชิงหลิงเดินเข้าไปและคารวะจักรพรรดิเหยา:“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี ”
“ลุกขึ้นเถอะ!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ไป๋ชิงหลิงลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
และเงยหน้าขึ้นมองไปที่จักรพรรดิเหยา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในกระโจม ในขณะที่หรงเยี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ
จักรพรรดิเหยากล่าวว่า:“นั่งลงเถอะ พูดคุยกับข้าก่อน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...