แววตาของหรงเยี่ยหรี่ลงเล็กน้อยและมีแสงเปล่งประกายปรากฏขึ้นมา และเสียงทุ้มต่ำก็ข้ามผ่านใบหูของนาง "ข้า......ชอบเจ้า!"
ไป๋ชิงหลิงรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว
คำพูดของเขาดังก้องในหูของนางไม่หยุดหย่อน
เขาชอบนาง!
หมายความว่าเขาตกหลุมรักนางเข้าแล้ว
นางจ้องมองหรงเยี่ยอย่างสับสนมึนงง ทั้งสองสบตาซึ่งกันและกัน โดยไม่มีใครทำลายความเงียบที่งดงามเช่นนี้
เข้าก้มศีรษะลง และจูบริมฝีปากของนางอีกครั้ง
โดยไม่มีความรุนแรงเหมือนเมื่อครู่ เหลือเพียงความอ่อนโยนที่อบอุ่นเท่านั้น
ไป๋ชิงหลิงตกตะลึงและตอบสนองต่อเขาอย่างขาดสติ
ความชอบของเขาก็เหมือนลูกศรกามเทพแทงทะลุหัวใจของนาง
นางใช้ชีวิตมาแล้วสองสมัยและยังไม่เคยมีความรัก การขอแต่งงานและการแต่งงาน แต่จู่ๆ ก็มีลูกถึงสองคน
เป็นครั้งแรกที่นางถูกผู้ชายสารภาพรัก
นางยอมรับว่าทำให้หัวใจของนางสั่นไหวไม่น้อย
ช่วงนี้มักมีคนเข้ามารายล้อมรอบตัวนาง แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติและไม่อ่อนโยน แต่เขาก็สามารถช่วยนางจากอันตรายต่างๆ ได้ทุกครั้ง แต่นางกลับมองไม่เห็น
นางไม่อาจยอมรับความดีที่เขาทำต่อนางในทุกครั้ง นางกลัวว่าหากนางพลาดไป เขาคงเป็นเหมือนท่านอ๋องต้วน
แต่เมื่อคิดดูตอนนี้ ไป๋ชิงหลิงกลับรู้สึกว่าหากปฏิบัติต่อท่านอ๋องหรงเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก
นางควรจะผลักเขาออกไปให้ไกล ถึงอย่างไรเสียตัวตนที่แท้จริงของนางก็ไม่สามารถทำให้เขาและนางอยู่ร่วมกันได้
นางออกแรงกัดเขา ทำให้หรงเยี่ยปล่อยนาง
ใบหน้าที่หล่อเหลาอ่อนโยนลงเล็กน้อย และดวงตาที่ยาวและแคบของเขาฉายประกายด้วยความหวัง
เขากำลังรอคำตอบจากนาง เพียงคำพูดของนางแค่คำเดียว เขาก็จะสามารถทำทุกอย่างเพื่อนางได้
จากนั้น ไป๋ชิงหลิงกลับมองเขาและกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก "พอได้แล้ว จูบนี้ถือเป็นการเส้นแบ่งแยกระหว่างเราสองคน จากวันนี้ไป ท่านและข้าจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ข้าไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงหลายใจ!"
"ไป๋เจาเสวี่ย!"
บรรยากาศอันเงียบสงบแผ่ซ่านไปด้วยความโกรธรุนแรงในทันที
ความอ่อนโยนบนใบหน้าของเขาถูกความโกรธเข้าครอบงำอย่างรวดเร็ว และดวงตาของเขาร้อนรุ่มด้วยความโกรธ
ไป๋ชิงหลิงรู้สึกเพียงร่างกายกำลังถูกเผาผลาญด้วยความโกรธที่มองไม่เห็น และความกลัวของนางก็แผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต
นางเกร็งตัวแน่นและกล่าวว่า "พูดไปแล้ว ข้ายังไม่ขอบพระทัยฝ่าบาทเลยที่ได้เรียกร้องตำแหน่งพระชายาเอกของท่านอ๋องฮุ่ยให้กับข้า ข้างกายของท่านอ๋องฮุ่ยมีเพียงองค์หญิงผิงหยางคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเด็กที่โตแล้ว หลังจากที่ข้าแต่งงานไปแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องดูแลเรื่องการกินอยู่ขององค์หญิงผิงหยางอีกต่อไป ข้าเพียงแต่ดูแลลูกทั้งสองคนของข้าก็เพียงพอแล้ว ท่านอ๋องหรงเพคะ การเลี้ยงเด็กเป็นเรื่องเหนื่อยยาก ข้าเลี้ยงเด็กสองคนก็ลำบากมากพอแล้ว ข้าไม่อยากเลี้ยงดูหรงจิ่งหลินอีกคนเพคะ"
"เจ้า......" หรงเยี่ยยกมือขึ้นและบีบคอของนาง
ทำให้เส้นเอ็นของเขาปรากฏขึ้น และแขนของเขาตึงขึ้นทันที
แต่แรงนั้นกลับไปไม่ถึงปลายนิ้วมือ ไป๋ชิงหลิงไม่รู้สึกอึดอัดหรือหายใจไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาปล่อยมือจากนางและทุบกำปั้นลงไปบนโต๊ะอย่างแรง
ในเวลานี้มีเสียงเรียกดังขึ้นจากหน้าประตู "ซื่อจื่อน้อย เหตุใดท่านถึงยืนอยู่ที่นี่!"
ไป๋ชิงหลิงตกใจอย่างมาก
หรงเยี่ยก็หันหน้าไปมองม่านหน้าต่างด้วยเช่นกัน
ทหารคนหนึ่งพาหรงจิ่งหลินเดินเข้ามาในกระโจมค่ายทหาร
หรงจิ่งหลินหยุดอยู่หน้าม่านด้วยอาการตาแดงก่ำ และมองไปที่ไป๋ชิงหลิงด้วยสีหน้าผิดหวัง "ท่านแม่ ท่านไม่ต้องการจิ่งหลินแล้วหรือขอรับ?"
ไป๋ชิงหลิงรู้สึกตื่นตระหนกและหัวใจเต้นแรงมาก
เมื่อสักครู่ที่นางพูดออกไป เพียงแค่ต้องการให้หรงเยี่ยออกไปจากชีวิตของนาง เพื่อจะได้ไม่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทบาดหมางกับท่านอ๋องฮุ่ย นางไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆ
"กลับไปเตรียมตัวเป็นพระชายาฮุ่ยของเจ้าให้ดี จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ตามรบกวนเจ้าอีก" หรงเยี่ยก้าวเดินไปหาหรงจิ่งหลินและอุ้มเขาขึ้น จากนั้นเปิดม่านของกระโจมและเดินออกไป
ไป๋ชิงหลิงทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง......
ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ฟูมฟายของหรงจิ่งหลินก็ดังขึ้นภายนอกกระโจม
เขาตะโกนร้องออกมาเสียงดัง "ท่านแม่ไม่ต้องการข้าแล้ว เหตุใดท่านแม่ไม่ต้องการข้า เซิงเอ๋อร์สอนข้าใส่เสื้อผ้าเองได้แล้ว และตอนนี้ข้าก็กินข้าวเอง อีกทั้งยังสามารถนอนเองได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่ลำบากอย่างแน่นอน"
"เสด็จพ่อ นางคือท่านแม่ของลูก ลูกไม่ได้โกหกเสด็จพ่อ นางเป็นท่านแม่ของลูกจริงๆ"
"นางไม่ใช่ท่านแม่ของเจ้า!" น้ำเสียงที่เยือกเย็นพูดแทรกคำพูดของหรงจิ่งหลิน
ไป๋ชิงหลิงชะโงกหน้าขึ้นมองม่านที่ถูกลมปลิวพัดขึ้นมา
หรงเยี่ยอุ้มหรงจิ่งหลินเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ยิ่งไกลออกมา
ทว่าทุกคำพูดที่หรงจิ่งหลินพูดออกไป ทำให้ไป๋ชิงหลิงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก
ท่านอ๋องหรงควรจะพูดเช่นนี้กับหรงจิ่งหลินไปนานแล้ว ว่านางไม่ใช่ท่านแม่ของเขา เช่นนั้นก็คงไม่ทำให้เด็กน้อยต้องเสียใจมากเช่นนี้
อย่างน้อยก็มีคำหนึ่งที่พูดถูก
ตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ในเวลานี้ อิงเหลียนได้เดินเข้ามาจากภายนอก เมื่อนางเห็นไป๋ชิงหลิงนั่งทรุดตัวลงอยู่กับพื้นจึงรีบเดินเข้าไปนั่งลงและกล่าวว่า "แม่นางไป๋ นายท่านบอกให้ข้าไปส่งท่านกลับจวน"
"เจ้าไม่ต้องติดตามข้าอีกต่อไปแล้ว และเจ้าก็ไม่ต้องสืบเรื่องของท่านอ๋องฮุ่ยให้ข้าอีกแล้ว และจากนี้ไปอย่าได้ก้าวเข้ามายังเรือนชิงซินอีกเลย" ไป๋ชิงหลิงปาดน้ำตาที่หางตาและลุกขึ้นยืนอย่างเหม่อลอย
อิงเหลียนเป็นกังวล "นายท่านบอกให้ข้าน้อยส่งแม่นางไป๋กลับไปที่จวน"
"ไม่ต้องแล้ว!" ไป๋ชิงหลิงรู้สึกแน่นหน้าอกเมื่อได้ยินคำพูดเผด็จการเช่นนั้นของอิงเหลียน จึงทำให้ตะคอกนางออกไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้
อิงเหลียนยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหนและกล่าวอย่างเคร่งขรึม "แม่นาง ท่านไม่ต้องการให้ข้าน้อยส่งท่านกลับไปที่จวน เช่นนั้นก็ควรฟังสิ่งที่ข้าน้อยจะพูดให้จบ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสูญเปล่ากับสิ่งที่ข้าน้อยจะบอกออกไป"
"ได้ เจ้าพูดมา!" ไป๋ชิงหลิงกำหมัดและหันหลังกลับ
อิงเหลียนกล่าว "ท่านอ๋องฮุ่ยแอบมีกองกำลังส่วนตัว อีกทั้งยังติดสินบนกองโจรค่ายเทียนสุ่ย และส่งทหารเหล่านั้นไปที่ค่ายกองโจร การทำเช่นนี้จะเป็นการตบตาคนอื่น และยังเพิ่มระดับความสามารถของกองกำลังทหารของเขาได้ เมื่อสามวันก่อน ชาวบ้านในหมู่บ้านเทียนสุ่ยได้เผชิญกับเหตุการณ์ไฟไหม้และการปล้นสะดม นายท่านพบความผิดปกติตั้งแต่แรก จึงได้ส่งกองกำลังทหารองครักษ์เหยี่ยวดำและทหารม้าเกราะเงินไปซุ่มโจมตีกว่าร้อยนาย"
ไป๋ชิงหลิงตกตะลึง
พูดเช่นนี้ ทหารที่บาดเจ็บในวันนี้ก็มีสาเหตุมาจากการขัดแย้งและต่อสู้กันกับกองโจรหมู่บ้านเทียนสุ่ย
นางหันหน้ามาและกล่าวว่า "เล่าต่อไป"
"ท่านอ๋องฮุ่ยมีพระชายาทั้งหมดแปดคน แต่ล้วนเสียชีวิตไปอย่างเอน็จอนาถในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี และองค์หญิงผิงหยางก็เป็นลูกที่เกิดจากเขาและหญิงสาวต่างแคว้น ท่านอ๋องฮุ่ยรักและโปรดปรานองค์หญิงผิงหยางอย่างมาก แต่เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิต และมีคุกส่วนตัว ฝ่าบาทได้เคยลงโทษเขา แต่หลังจากนั้นเขากลับไม่เกรงกลัวมากขึ้นและทำทุกอย่างตามอำเภอใจ" อิงเหลียนเล่าอย่างละเอียด
ไป๋ชิงหลิงจับจ้องไปยังอิงเหลียน "นายท่านของเจ้าบอกให้เจ้ามาบอกข้าใช่หรือไม่"
อิงเหลียนสะดุ้งเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมองนาง
และพบว่าแววตาที่ไป๋ชิงหลิงมองไปที่นางนั้นเหมือนกับสายตาที่นายท่านของนางที่กำลังมองนาง
เฉียบขาด แหลมคมและเยือกเย็น
ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวไป๋ชิงหลิงขึ้นมาเล็กน้อย
"แม่นาง ท่านอ๋องฮุ่ยเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ฝ่าบาทได้ทรงมีความคิดจะยึดครองจวนท่านอ๋องฮุ่ยของเขามานานแล้ว"
ไป๋ชิงหลิงครุ่นคิด
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจได้ถึงการอาละวาดของหรงเยี่ยเมื่อสักครู่
ในเมื่อฝ่าบาทต้องการยึดครองจวนท่านอ๋องฮุ่ย เช่นนั้นหากนางทำให้ท่านอ๋องฮุ่ยตาย ก็คงเป็นสิ่งที่จักรพรรดิเหยาต้องการด้วยไม่ใช่หรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้นางต้องกังวลอีกแล้ว
ไป๋ชิงหลิงสั่งให้อิงเหลียนอยู่ที่นี่ จากนั้นนางได้เดินออกไปจากค่ายทหารโดยลำพัง
อิงเหลียนได้ออกไปยังหอคอยเพื่อรายงาน "นายท่าน ข้าน้อยได้บอกแม่นางไป๋ตามที่นายท่านสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"
หรงเยี่ยขมวดคิ้วแน่น กัดฟันกรอดและกล่าวว่า "คอยแอบเฝ้าสังเกตนางไว้!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...