ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 155

ตรงกันข้ามกับการที่นางได้มีเอ๋อร์ซือ

เพราะไป๋จิ่นเองก็ไม่อยากเห็นนางได้ดิบได้ดีไปกว่าตนอยู่แล้ว

และถ้าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป ผู้มีอำนาจทั้งหลายทั้งปวงก็จะพากันสืบหาความจริงจนถึงที่สุด

แล้วพอถึงตอนนั้น ไป๋จิ่นก็จะต้องรับมือกับความวุ่นวายและไม่สามารถปกปิดความลับใด ๆ ได้อีก

แต่อย่างน้อย ๆ นางก็ยังมีเฉียนจิ่วเป็นสุนัขรับใช้

เพราะแค่นางโยนเศษเงินให้กับคนอย่างเฉียนจิ่ว เขาก็จะสามารถเก็บกวาดปัญหาทุกอย่างให้กับนางได้อย่างหมดจด

และถึงแม้ว่านางจะไม่ยอมรับว่านางได้ให้กำเนิดแฝดชายหญิงกับคนอย่างเฉียนจิ่ว

แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี ว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องจริง!

เมื่อฮุ่ยหลานเห็นท่าไม่ค่อยดี นางจึงรีบคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋ชงเซิง เพื่อวิงวอนต่อไป๋ชงเซิงว่า “คุณหนูเจ้าคะ เพลานี้ร่างกายของแม่นางยังคงอ่อนแอนัก และแม่นางก็เพิ่งจักถ่ายเลือดออกมาเมื่อครู่ หากมีสิ่งใดมารบกวนจิตใจของแม่นางอีก มันจักพาลทำให้ร่างกายของแม่นางมิได้พักผ่อนนะเจ้าคะ”

ไป๋ชงเซิงจึงหยุดร้องทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นดวงตากลมโตของนางก็จ้องมองไปที่ริมฝีปากขาวซีดของไป๋ชิงหลิง

ฮุ่ยหลานจึงไม่รอช้า รีบตัดบทกับไป๋ชงเซิงอย่างรู้งานว่า “คุณหนูเจ้าคะ อีกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นเจ้าค่ะ อดทนรออีกแค่ครึ่งเดือน แม่นางก็จักไขข้อสงสัยทุกอย่างให้กับคุณหนูเอง ตอนนี้คุณหนูอย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะเจ้าคะ ได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“นี่พวกท่านกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ เหตุใดถึงได้ดูมีลับลมคมในกันนัก” ไป๋ชงเซิงเมียงมองไป๋ชิงหลิงด้วยความสงสัย ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นกังวลว่า “เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าการที่ท่านแม่ต้องถ่ายเลือดออกมาเช่นนี้ มันจักเป็นอันตรายกับชีวิตของท่านแม่หรือไม่”

“ไม่หรอกจ๊ะ” ไป๋ชิงหลิงกล่าว ก่อนจะบอกกับไป๋ชงเซิงอย่างแผ่วเบาว่า “แม่ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ดังนั้นเจ้าต้องอยู่เล่นเป็นเพื่อนเอ๋อร์ซือแทนแม่นะ”

“แต่ข้า…” ไป๋ชงเซิงแย้งขึ้น ก่อนจะหันมองไปทางเอ๋อร์ซืออย่างไม่พอใจ

เอ๋อร์ซือจึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเล็กจ้อยว่า “เจ้าอย่าไล่ข้าไปเลยหนา หากข้าออกไปจากที่นี่ ท่านพ่อจักต้องตีข้าตายเป็นแน่ ข้าสัญญาว่าข้าจักอยู่เงียบ ๆ ในมุมของข้า และข้าจักมิกวนใจเจ้ากับท่านแม่เลย”

ไป๋ชงเซิงจึงตอบกลับเอ๋อร์ซือไปอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้นเจ้าจักต้องหัดแต่งตัวและหัดกินข้าวเอง อย่าให้ท่านแม่ต้องมาคอยประคบประหงมเจ้าทั้งวัน”

“ได้ ข้าจักกินข้าวกินยาด้วยตัวข้าเอง” พูดจบเอ๋อร์ซือก็หันไปหยิบถ้วยยาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นซดทันที

จนลี่ว์อีและชิงอีที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ พากันถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก

เมื่อไป๋ชิงหลิงกลับเข้ามาในห้อง นางก็หยิบยาบำรุงเลือดใส่ปาก ก่อนจะค่อย ๆ นอนลงบนเตียงทันทีด้วยความอ่อนล้า

เนื่องจากนางจะต้องเร่งฟื้นฟูกำลัง เพื่อรอรับมือกับท่านอ๋องฮุ่ยในเร็ว ๆ นี้…

แต่หลังจากที่ถ้ำนอนของเสวี่ยหลางในสวนหลังเรือนชิงซินถูกปิดตาย

หรงจิ่งหลินที่กำลังยืนจ้องมองถ้ำนอนนั้นจากอีกฝั่งจึงเป็นลมล้มตึงไปในทันที

องครักษ์นายหนึ่งที่กำลังซุ่มดูอยู่ในมุมมืดจึงรีบวิ่งเข้าไปอุ้มหรงจิ่งหลินขึ้น ก่อนจะพาเด็กชายร่างเล็กกลับไปส่งที่จวนด้วยความแตกตื่น

เมื่อรถม้าของหรงเยี่ยแล่นมาถึงหน้าประตูจวน พ่อบ้านฉีก็วิ่งหน้าตั้งมาที่หน้าประตูจวนทันที “ท่านอ๋อง ทรงเสด็จกลับมาเสียทีนะพะยะค่ะ!”

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”

หรงเยี่ยถามกลับ ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อยและเดินหน้าเข้าจวนไปด้วยความร้อนใจ

เมื่อหมอเทวดาซูเห็นหรงเยี่ยสับเท้าเข้ามาแต่ไกล เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานต่อหรงเยี่ยถึงที่ทันทีว่า “ท่านอ๋องพะยะค่ะ คุณชายน้อยอาจจักมีเรื่องให้คิดมากเกินไป พิษที่ยังตกค้างอยู่ภายในถึงได้แผลงฤทธิ์ขึ้นมาเยี่ยงนี้ ดังนั้นถ้าหากมิเร่งล้างพิษทั้งหมดออกมา มันก็อาจจักก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลยพะยะค่ะ”

หรงเยี่ยขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันมองเข้าไปในเรือนด้วยความสงสัย “มีเรื่องให้คิดมากงั้นรึ”

แม่นมซั่งจึงกล่าวรายงานทั้งน้ำตาว่า “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ หม่อมฉันเข้าครัวไปเอาสำรับของว่างให้คุณชายแค่แวบเดียว กลับมาอีกทีคุณชายก็หายไปเสียแล้ว และองครักษ์ที่อุ้มคุณชายกลับมาได้แจ้งไว้ว่า… คุณชายแอบเข้าไปในเขตของเรือนชิงซิน โดยการมุดผ่านถ้ำนอนของเจ้าเสวี่ยหลางไป แต่ไม่นานนัก คุณชายก็มุดกลับออกมา ก่อนจะยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นนานนับชั่วโมง จนกระทั่งมีคนของเรือนชิงซินปิดตายรูรอดนั่น คุณชายจิ่งถึงได้เป็นลมล้มตึงกลับมาเช่นนี้เพคะ”

พอได้ฟังดังนั้น หรงเยี่ยจึงรีบหันหลังเตรียมจะเดินออกจากจวนด้วยความร้อนใจ หรงจิ่งหลินที่เพิ่งได้สติจึงรีบตะโกนไล่หลังเขาไปว่า “ท่านพ่อ อย่าไปเลยพะยะค่ะ…”

หรงเยี่ยชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปหาหรงจิ่งหลินทันทีด้วยความเป็นห่วง

“คุณชาย หิวหรือไม่เพคะ นมทำของโปรดของคุณชายไว้ด้วยนะเพคะ” แม่นมซั่งเอ่ยถาม

หรงจิ่งหลินจึงรีบตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ได้ ข้าจักกิน แต่เสด็จพ่อพะยะค่ะ...วันนี้ที่ลูกไปที่นั่น เพราะลูกแค่อยากเห็นหน้าท่านแม่กับเซิงเซิงเท่านั้น”

แม่นมซั่งที่นั่งกุมมือจิ่งหลินอยู่ข้าง ๆ จึงร่ำไห้ออกมาทันทีด้วยความสงสาร

และนางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ว่าเหตุใดแม่นางไป๋ถึงต้องทำให้คุณชายจิ่งเจ็บปวดถึงเพียงนี้

นางจักรู้บ้างหรือไม่ ว่าใจของคุณชายจิ่ง กำลังเรียกหาแต่เพียงแค่นาง

แต่ก็นับเป็นโชค ที่ผู้หญิงพรรค์นั้นมิได้แต่งงานเข้ามาในจวนท่านอ๋องหรง

“แม่นมซั่ง ท่านรีบไปหาอะไรมาให้คุณชายจิ่งกินหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวข้าจักไปจัดยามาถวายคุณชายจิ่งเลย” หมอเทวดาซูกล่าว

แม่นมซั่งจึงรีบปาดน้ำตา และลุกเดินเข้าครัวเพื่อไปเตรียมสำรับอาหารมาให้หรงจิ่งหลินในทันที

พอแม่นมซั่งเดินออกไปได้สักพัก หมอเทวดาซูก็พูดกับหรงจิ่งหลินขึ้นว่า “คุณชายน้อยทรงอย่าได้เก็บอะไรมาคิดอีกเลยนะพะยะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจักเร่งไปจัดยามาถวาย” พูดจบ หมอเทวดาซูก็รีบเดินตามแม่นมซั่งเข้าไปในครัวทันที

หรงเยี่ยจึงเอื้อมมือเข้าไปกุมมือน้อย ๆ ของหรงจิ่งหลิน

แล้วสองพ่อลูกก็มองตากันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่

จนกระทั่งหรงเยี่ยเอ่ยถามบุตรชายขึ้นสั้น ๆ ว่า “คิดได้แล้วใช่หรือไม่?”

หรงจิ่งหลินพยักหน้าด้วยความสิ้นหวัง แล้วพูดขึ้นว่า “ต่อจากนี้ ลูกจักมิทำให้นางต้องลำบากใจอีก”

“หากคิดได้เช่นนั้นแล้ว ก็จงอยู่รักษาตัวต่อไปแค่ในจวนนะลูก” พูดจบหรงเยี่ยก็อุ้มหรงจิ่งหลินเข้ามากอด

ซึ่งหรงจิ่งหลินเองก็โผเข้ากอดบุคคลผู้เป็นพ่อไว้แน่น ก่อนจะสำลักความในใจออกมาด้วยความอัดอั้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกขอเพียงแค่ได้เฝ้ามองพวกนางอยู่ห่าง ๆ ได้หรือไม่... ลูกสัญญาว่าลูกจักมิเข้าไปก่อความวุ่นวายใด ๆ และจักมิเรียกขานนางว่าท่านแม่อีกเลย และถ้าหากว่าเสด็จพ่อทรงใคร่อยากจักมีใครใหม่ ลูกก็จักพยายามทำใจยอมรับให้ได้ แต่เสด็จพ่อทรงรับปากกับลูกก่อนได้หรือไม่ ว่าเสด็จพ่อจักมิยอมให้ท่านอ๋องฮุ่ยทำร้ายนางเด็ดขาด?”

พูดจบ หรงจิ่งหลินก็เงยหน้าขึ้นสบตากับหรงเยี่ย ในขณะที่น้ำใส ๆ ก็ยังคงไหลรินอาบแก้มของเขาแบบมิมีหยุดพัก

นี่เป็นครั้งแรกที่หรงจิ่งหลินวิงวอนต่อหรงเยี่ย

ทั้ง ๆ ที่หรงจิ่งหลินนั้นไม่เคยร้องขอสิ่งใดจากหรงเยี่ยมาก่อน!

แล้วแบบนี้ จะไม่ให้หรงเยี่ยรู้สึกหนักใจได้อย่างไรกัน

หรงเยี่ยจ้องมองหรงจิ่งหลินด้วยความหวงแหน

โดยที่เขามิได้รับปากกับหรงจิ่งหลินแต่อย่างใด

“เสด็จพ่อ…” เมื่อหรงจิ่งหลินเห็นว่าหรงเยี่ยนิ่งเงียบไปนาน เขาจึงพยายามอ้อนวอนต่อไปอีกว่า​ “ขอเพียงเสด็จพ่อทรงยอมส่งองครักษ์เหยี่ยวดำไปคอยคุ้มกันนางอยู่ห่าง ๆ แค่นั้นก็มิได้หรือพะยะค่ะ?”

“มิได้”

หรงจิ่งหลินชะงักงันไปชั่วขณะ

และไม่คิดที่จะร้องขอสิ่งใดจากหรงเยี่ยอีกเลย

เขาเพียงแต่ก้มหน้าลง แล้วพูดกับหรงเยี่ยเสียงสั่นว่า “เช่นนั้น เสด็จพ่อทรงอย่าโกรธเคืองนางเพราะลูกเลยนะพะยะค่ะ ลูกมิอยากให้เซิงเซิงกับเอ๋อร์ซือ ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับลูก และถึงแม้ว่าลูกจักมิมีท่านแม่ แต่ลูกก็ยังมีเสด็จพ่อคอยอยู่เคียงข้าง เพียงเท่านี้ ลูกก็มีความสุขแล้วล่ะพะยะค่ะ”

หรงจิ่งหลินไม่ได้มีแค่เสด็จพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เขายังมีเสด็จปู่และเสด็จย่าคอยอยู่เคียงข้างเขามาเสมอ

ดังนั้นเมื่อเขามีคนที่คอยอยู่เคียงข้างเช่นนี้แล้ว

เขาก็จะไม่ขอให้ใครมาลำบากเพื่อเขาอีก เขาขอเพียงแค่ให้ไป๋ชิงหลิงและไป๋ชงเซิงปลอดภัย

จนกว่าเขาจะเติบโตขึ้นกว่านี้ แล้วเขาจะเป็นคนที่คอยดูแลพวกนางเอง

หลังจากที่แม่นมซั่งยกสำรับอาหารเข้ามาในห้อง หรงจิ่งหลินก็เอาแต่ยัดอาหารคาวหวานเหล่านั้นเข้าปาก

จนแม่นมซั่งต้องรีบปรามด้วยความเป็นห่วง

จากนั้นหรงจิ่งหลินก็กระดกยาต้มเข้าปาก ก่อนจะพาตัวเองลงนอน และผล็อยหลับไปได้อย่างง่ายดาย

แล้วในค่ำคืนนั้น หรงเยี่ยก็ไปที่สวนหย่อมหลังบ้าน และมองดูรูรอดที่ถูกปิดตายอย่างพินิจพิเคราะห์

อิงเหลียนเห็นดังนั้น จึงรีบก้าวออกมาจากมุมมืด เพื่อเข้าไปบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนชิงซินวันนี้ให้เขาฟัง “ท่านอ๋องพะยะค่ะ วันนี้แม่นางไป๋…ถ่ายเลือดออกมาเป็นจำนวนมากเลยพะยะค่ะ”

“นางทำเช่นนั้นไปทำไม?”

“ข้างกายแม่นางไป๋ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการใช้พิษ นามว่าฮุ่ยหลาน คอยติดตามอยู่มิห่าง กระหม่อมจึงเดาว่า แม่นางไป๋อาจกำลังใช้เลือดของตนทำยาพิษขึ้นมาพะยะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น