ไป๋ชิงหลิงตกตะลึงและแหงนหน้าขึ้นมองเขา ทำให้บังเอิญเห็นเคราสั้นสีดำยื่นออกมาจากคางของเขา
นางถอนหายใจ......
เหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงตาบอดเช่นนี้ที่ได้หรงฉี่คนเลวคนนั้นเป็นสามี
นางยอมรับว่าหรงเยี่ยเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมเย็นชา และเคยทำร้ายนางมาก่อน แต่ผู้ชายประเภทนี้หากได้ตกหลุมรักใครแล้ว เขาจะกลายเป็นทาสของภรรยาไปโดยบัดดล......
ในใจของนางแอบรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ ฝืนยิ้มอย่างขมขื่นและลำบากใจอย่างมาก!
ยิ่งหรงเยี่ยดีกับนางมากเพียงใด ความรู้สึกผิดของนางก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสุดท้ายแล้วนางก็จะต้องจากเมืองเฉาจิงนี้ไป โดยไม่แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์อีก
"ท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องของท่านอ๋องฮุ่ย ฝ่าบาทไม่อยากให้ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ท่านอ๋องฮุ่ยเป็นคนเจ้าเล่ห์และระมัดระวังตัว วันนี้ที่ข้าไปที่ค่ายทหารของเขา เขาไม่แม้แต่จะให้ข้าเข้าไป ซึ่งเห็นได้ว่าในค่ายทหารของเขาจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน!"
ไม่เช่นนั้นคงไม่ระแวดระวังเช่นนั้น
คนที่เปิดเผยไม่มีอะไร ไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน
ดังเช่นหรงเยี่ย
เขากอดรัดร่างกายของนางแน่น "อย่าไปสังเกตการณ์ที่ค่ายทหารของเขาอีก"
"เพราะเหตุใด?" หากไม่เข้าไปละก็ เช่นนั้นนางจะจัดการตามแผนการของตัวเองได้อย่างไร
"เขาไม่มีทางให้เจ้าเข้าไปหรอก"
"ข้างในนั้นมีอะไรอย่างนั้นหรือ? ท่านรู้ใช่หรือไม่!" จู่ๆ ไป๋ชิงหลิงก็จับเสื้อของเขาแน่นและคาดหวังว่าเขาจะพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ออกมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม รัศมีบริเวณรอบกายของหรงเยี่ยก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาและแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตสังหาร "ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำที่ข้าส่งไปไม่มีเหลือกลับออกมาสักคน"
อะไรนะ!!!
"ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำ ไม่มีใครกลับออกมาเลยสักคน?"
"อืม!" และนี่คือความเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมของท่านอ๋องฮุ่ย
หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าเขาและจักรพรรดิเหยาไม่เคยสืบเรื่องค่ายทหารของเขา แต่ไม่ว่าจะส่งทหารองครักษ์เหยี่ยวดำหรือองครักษ์ลับจักรพรรดิออกไปมากเพียงใด ต่างก็ไม่มีเหลือกลับออกมาสักคน
"เช่นนั้นแล้ว ค่ายทหารของท่านอ๋องฮุ่ยจะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน" เวลานี้ไป๋ชิงหลิงก็นึกถึงแมวที่แอบปล่อยเข้าไปในค่ายทหาร และอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งขึ้นมาในทันที
เป่าลี่ว์ก็คงไม่ได้กลับออกมาอย่างนั้นหรือ!
"เจ้าไม่ต้องไปสืบเรื่องในค่ายทหารของเขาแล้ว ไม่เช่นนั้นชีวิตของเจ้าคงต้องจบลงในค่ายทหารของเขาอย่างแน่นอน" หรงเยี่ยกอดนางแน่น และกดริมฝีปากไปที่หน้าผากของนาง
กลิ่นหอมเจือจางของดอกซิ่งฮวาในตัวของไป๋ชิงหลิงได้ลอยเข้าไปในจมูกของเขา
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่นางได้พูดกับเขาในวันนี้
"ทำขนมดอกซิ่งฮวาให้ข้า"
ไป๋ชิงหลิงจ้องมองเขาอย่างพูดไม่ออก
"ท่านอ๋องฮุ่ยไม่ได้กินขนมดอกซิ่งฮวาที่ข้าทำ เขาได้มอบให้กับปรมาจารย์คนสนิทของเขา ข้าในตอนนี้จะทำให้ท่านรับประทานได้อย่างไร ท่านกลับไปที่จวนของท่านได้หรือไม่ หากถูกคนของท่านอ๋องฮุ่ยเห็นเข้า......"
"อย่าพูดชื่อเขา" หรงเยี่ยหลับตาลงและจูบหน้าผากของนาง จากนั้นจูบลงไปที่จมูกของนาง "ข้าไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว ให้ข้าได้พักผ่อนสักเดี๋ยวเถอะ"
ไป๋ชิงหลิงผลักเขาออกไปอย่างแรง นางดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอยู่นานก็ไม่สามารถผลักเขาออกได้ ทว่ากลับได้ยินเสียงหายใจของเขา
เขาหลับลงไปแล้ว
"หรงเยี่ย"
"หรงเยี่ย"
"หรงเยี่ย ท่านกลับไปนอนที่จวนของท่านเดี๋ยวนี้"
"ท่านรีบตื่นขึ้นมา ท่านกอดจนข้าหายใจไม่ออกแล้ว"
ไป๋ชิงหลิงดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอยู่นาน และสุดท้ายตัวเองก็หลับลงด้วยความเหนื่อยล้า
หลังจากที่ไป๋ชิงหลิงนอนหลับไป ทันใดนั้นหรงเยี่ยก็ลืมตาขึ้นมาและแอบออกไปจากห้อง
ออกไปจากเรือนชิงซิน และแอบหยุดยืนอยู่หลังต้นไม้
ฮุ่ยหลานคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขา
หรงเยี่ยชำเลืองมองนางจากเบื้องบนอย่างเย็นชา "ใครให้เจ้าแตะต้องตัวนาง"
"นายท่าน ข้าน้อยคิดไม่ถึงว่าแม่นางไป๋จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อฝึกฝนวิชาพิษกู่"
"อย่าให้มีครั้งต่อไป จะทำอย่างไรนั้น เจ้าคิดหาวิธีด้วยตัวเอง"
แววตาของฮุ่ยหลานหรี่ลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "เจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดวิธีได้แล้วเจ้าค่ะ"
"อย่าทำให้นางรู้"
เมื่อเขาพูดจบก็ได้หันหลังและเดินจากไป
หลังจากที่ฮุ่ยหลานกลับไปยังเรือนชิงซิน ก็ได้หยิบพิษกู่โลหิตที่กลั่นสำเร็จเมื่อวานออกมา จากนั้นได้ฝังเข้าไปในเลือดของตัวเอง......
เวลาผ่านไปหลายวัน เป่าลี่ว์ยังคงไม่กลับมา
อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิงหลิงยังคงนำของว่างไม่ซ้ำชนิดไปมอบให้กับท่านอ๋องฮุ่ยที่ค่ายทหารที่หนานเซี่ยวอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเทียบกับครั้งแรกแล้วนั้น ท่านอ๋องฮุ่ยได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางไปอย่างมาก
เขาเปิดกล่องอาหารต่อหน้าของนางและลองลิ้มรสขนมดอกซิ่งฮวาสองสามชิ้น
เมื่อลิ้มลองเสร็จก็ได้หยอกล้อนาง "ข้าไม่ชอบกินของหวาน แต่ที่พระชายาทำมานั้น ข้าต่างล้วนชอบอย่างมาก!"
แม้ว่าท่าทีของท่านอ๋องฮุ่ยจะเปลี่ยนไป แต่เขายังคงไม่ยอมให้นางเข้าไปในค่ายทหารของเขา
วันที่หก เลือดที่ไป๋ชิงหลิงเก็บมาจากศพของเด็กก็ปรากฏผลขึ้น
นางไปยังที่ว่าการอย่างเร่งรีบ และหรงเยี่ยก็อยู่ที่นั่นพอดี
เมื่อใต้เท้าเว่ยเห็นนางเข้ามาแววตาของเขาก็เปล่งประกาย จากนั้นจึงได้รีบเดินออกไปต้อนรับ "หมอหญิงไป๋ เจ้ามาแล้ว"
ไป๋ชิงหลิงแสดงความเคารพหรงเยี่ยตามมารยาท "คารวะท่านอ๋องหรงเพคะ"
"มีอะไรคืบหน้าหรือไม่?" หรงเยี่ยถาม
ไป๋ชิงหลิงพยักหน้าและหยิบรายงานที่ลงมือเขียนด้วยตัวเองออกมา
กระดาษในห้วงมิติเวลานั้นแตกต่างไปจากสมัยโบราณ นางจึงไม่กล้าหยิบออกมาและทำได้เพียงคัดลอกสำเนาออกมาหนึ่งฉบับเท่านั้น
นางยื่นรายงานสำเนาที่คัดลอกมาให้กับหรงเยี่ยและกล่าวว่า "เลือดของเด็กมีปัญหา"
นักชันสูตรศพโจวและนักชันสูตรศพจางที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกตกตะลึงขึ้นทันที
นักชันสูตรศพโจวกล่าวว่า "เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัญหา ข้าได้พิสูจน์แล้ว เลือดของเด็กไม่มีร่องรอยในการถูกยาพิษเลย นักชันสูตรศพจางก็ตรวจสอบแล้วเช่นกัน"
นักชันสูตรศพจางพยักหน้า "หรือหมอหญิงไป๋จะตรวจสอบผิดพลาดไป แค่ทำการพิสูจน์ตรวจสอบเลือดจำเป็นต้องใช้เวลาถึงหกวันเลยหรือ?"
ไป๋ชิงหลิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจความสงสัยของสองคนนี้
อุปกรณ์ที่อยู่ในห้วยมิติเวลาของนางไม่มีทางมีปัญหา ไม่มีพิษก็ไม่ได้หมายความว่าเลือดจะไม่มีปัญหา
ใต้เท้าเว่ยกลับอยากรู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ใด จึงไม่ได้สนใจความสงสัยของนักชันสูตรศพทั้งสอง
เขาหยิบรายงานสองฉบับไปจากมือของหรงเยี่ย และเมื่อพลิกไปพลิกมาดูแล้วนั้น ก็พบว่าเขาเองไม่รู้ถึงอักษรที่ต้องการจะสื่อสารออกมา
แน่นอนว่าหรงเยี่ยที่รับรายงานมาคนแรกก็อ่านไม่ออก "พูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"
"ท่านอ๋อง เด็กน้อยไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่กลับได้รับเชื้อของโรคชนิดหนึ่ง ทำให้เด็กๆ ตายลงเพราะอาการป่วย ส่วนเป็นโรคอะไรนั้น หม่อมฉันยังคงต้องทำการพิสูจน์ตรวจสอบในขั้นตอนต่อไปเพคะ"
ขณะที่ไป๋ชิงหลิงตรวจเจอว่าในเลือดของเด็กมีเชื้อโรคบางอย่างนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าคดีการลอบสังหารในครั้งนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางถึงขั้นรู้สึกได้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
และเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเด็กที่ตายไป
ใต้เท้าเว่ยหายใจถี่และหันไปมองนักชันสูตรศพจางและนักชันสูตรศพโจว "พวกเจ้าสองคนได้ผ่าพิสูจน์ร่างของเด็กแล้วไม่ใช่หรือ พวกเจ้าไม่พบเห็นความผิดปกติเลยอย่างนั้นหรือ?"
นักชันสูตรศพโจวจ้องมองไป๋ชิงหลิงและกล่าวอย่างมั่นใจ "ไม่มีเลยขอรับใต้เท้าเว่ย"
นักชันสูตรศพจางก็กล่าวขึ้นมาเช่นกัน "ข้าน้อยได้ผ่าพิสูจน์สองศพ รวมไปถึงบริเวณศีรษะ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติขอรับ เด็กที่ตายไปไม่เหมือนตายไปเพราะอาการป่วยติดเชื้อ แต่เหมือนการหิวตายมากกว่าขอรับ"
"เพราะเชื้อโรคได้กัดกินเลือดของพวกเขา ใต้เท้าเว่ยได้เคยเปิดโลงศพเพื่อทำการพิสูจน์ศพอีกครั้งหรือไม่!" ไป๋ชิงหลิงถาม
ขณะที่ใต้เท้าเว่ยได้ยินคำนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมอย่างมาก
เขาเงยหน้าขึ้นมองหรงเยี่ย อย่างไรเสียก็ถือเป็นคดีสำคัญ ควรหรือไม่ควรพูดนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำตัดสินใจจากท่านอ๋องหรง
หรงเยี่ยพยักหน้า จากนั้นใต้เท้าเว่ยจึงกล่าวขึ้นมา "เปิดแล้ว แต่ศพกลับเน่าเละเป็นหนอง และกลายเป็นแอ่งน้ำ"
"และปัญหาก็อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ทำได้เพียงคาดเดาว่า เชื้อโรคนี้ไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ ในขณะที่คนยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่ตายไปแล้วนั้น เชื้อโรคกลับกัดกินร่างกายเข้าไปอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าร่างกายจะตายไปแล้ว แต่พวกมันยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้น ผลชันสูตรพลิกศพของนักชันสูตรศพทั้งสองคนก็ไม่ได้ผิดอะไร เด็กๆ ต่างตายไปเพราะอาการหิวตายและโยนศพทิ้งไป"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...