ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 160

ไป๋ชิงหลิงตกตะลึงและแหงนหน้าขึ้นมองเขา ทำให้บังเอิญเห็นเคราสั้นสีดำยื่นออกมาจากคางของเขา

นางถอนหายใจ......

เหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงตาบอดเช่นนี้ที่ได้หรงฉี่คนเลวคนนั้นเป็นสามี

นางยอมรับว่าหรงเยี่ยเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมเย็นชา และเคยทำร้ายนางมาก่อน แต่ผู้ชายประเภทนี้หากได้ตกหลุมรักใครแล้ว เขาจะกลายเป็นทาสของภรรยาไปโดยบัดดล......

ในใจของนางแอบรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ ฝืนยิ้มอย่างขมขื่นและลำบากใจอย่างมาก!

ยิ่งหรงเยี่ยดีกับนางมากเพียงใด ความรู้สึกผิดของนางก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เพราะสุดท้ายแล้วนางก็จะต้องจากเมืองเฉาจิงนี้ไป โดยไม่แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์อีก

"ท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องของท่านอ๋องฮุ่ย ฝ่าบาทไม่อยากให้ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ท่านอ๋องฮุ่ยเป็นคนเจ้าเล่ห์และระมัดระวังตัว วันนี้ที่ข้าไปที่ค่ายทหารของเขา เขาไม่แม้แต่จะให้ข้าเข้าไป ซึ่งเห็นได้ว่าในค่ายทหารของเขาจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน!"

ไม่เช่นนั้นคงไม่ระแวดระวังเช่นนั้น

คนที่เปิดเผยไม่มีอะไร ไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน

ดังเช่นหรงเยี่ย

เขากอดรัดร่างกายของนางแน่น "อย่าไปสังเกตการณ์ที่ค่ายทหารของเขาอีก"

"เพราะเหตุใด?" หากไม่เข้าไปละก็ เช่นนั้นนางจะจัดการตามแผนการของตัวเองได้อย่างไร

"เขาไม่มีทางให้เจ้าเข้าไปหรอก"

"ข้างในนั้นมีอะไรอย่างนั้นหรือ? ท่านรู้ใช่หรือไม่!" จู่ๆ ไป๋ชิงหลิงก็จับเสื้อของเขาแน่นและคาดหวังว่าเขาจะพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ออกมาบ้าง

อย่างไรก็ตาม รัศมีบริเวณรอบกายของหรงเยี่ยก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาและแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตสังหาร "ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำที่ข้าส่งไปไม่มีเหลือกลับออกมาสักคน"

อะไรนะ!!!

"ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำ ไม่มีใครกลับออกมาเลยสักคน?"

"อืม!" และนี่คือความเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมของท่านอ๋องฮุ่ย

หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าเขาและจักรพรรดิเหยาไม่เคยสืบเรื่องค่ายทหารของเขา แต่ไม่ว่าจะส่งทหารองครักษ์เหยี่ยวดำหรือองครักษ์ลับจักรพรรดิออกไปมากเพียงใด ต่างก็ไม่มีเหลือกลับออกมาสักคน

"เช่นนั้นแล้ว ค่ายทหารของท่านอ๋องฮุ่ยจะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน" เวลานี้ไป๋ชิงหลิงก็นึกถึงแมวที่แอบปล่อยเข้าไปในค่ายทหาร และอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งขึ้นมาในทันที

เป่าลี่ว์ก็คงไม่ได้กลับออกมาอย่างนั้นหรือ!

"เจ้าไม่ต้องไปสืบเรื่องในค่ายทหารของเขาแล้ว ไม่เช่นนั้นชีวิตของเจ้าคงต้องจบลงในค่ายทหารของเขาอย่างแน่นอน" หรงเยี่ยกอดนางแน่น และกดริมฝีปากไปที่หน้าผากของนาง

กลิ่นหอมเจือจางของดอกซิ่งฮวาในตัวของไป๋ชิงหลิงได้ลอยเข้าไปในจมูกของเขา

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่นางได้พูดกับเขาในวันนี้

"ทำขนมดอกซิ่งฮวาให้ข้า"

ไป๋ชิงหลิงจ้องมองเขาอย่างพูดไม่ออก

"ท่านอ๋องฮุ่ยไม่ได้กินขนมดอกซิ่งฮวาที่ข้าทำ เขาได้มอบให้กับปรมาจารย์คนสนิทของเขา ข้าในตอนนี้จะทำให้ท่านรับประทานได้อย่างไร ท่านกลับไปที่จวนของท่านได้หรือไม่ หากถูกคนของท่านอ๋องฮุ่ยเห็นเข้า......"

"อย่าพูดชื่อเขา" หรงเยี่ยหลับตาลงและจูบหน้าผากของนาง จากนั้นจูบลงไปที่จมูกของนาง "ข้าไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว ให้ข้าได้พักผ่อนสักเดี๋ยวเถอะ"

ไป๋ชิงหลิงผลักเขาออกไปอย่างแรง นางดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอยู่นานก็ไม่สามารถผลักเขาออกได้ ทว่ากลับได้ยินเสียงหายใจของเขา

เขาหลับลงไปแล้ว

"หรงเยี่ย"

"หรงเยี่ย"

"หรงเยี่ย ท่านกลับไปนอนที่จวนของท่านเดี๋ยวนี้"

"ท่านรีบตื่นขึ้นมา ท่านกอดจนข้าหายใจไม่ออกแล้ว"

ไป๋ชิงหลิงดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอยู่นาน และสุดท้ายตัวเองก็หลับลงด้วยความเหนื่อยล้า

หลังจากที่ไป๋ชิงหลิงนอนหลับไป ทันใดนั้นหรงเยี่ยก็ลืมตาขึ้นมาและแอบออกไปจากห้อง

ออกไปจากเรือนชิงซิน และแอบหยุดยืนอยู่หลังต้นไม้

ฮุ่ยหลานคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขา

หรงเยี่ยชำเลืองมองนางจากเบื้องบนอย่างเย็นชา "ใครให้เจ้าแตะต้องตัวนาง"

"นายท่าน ข้าน้อยคิดไม่ถึงว่าแม่นางไป๋จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อฝึกฝนวิชาพิษกู่"

"อย่าให้มีครั้งต่อไป จะทำอย่างไรนั้น เจ้าคิดหาวิธีด้วยตัวเอง"

แววตาของฮุ่ยหลานหรี่ลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "เจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดวิธีได้แล้วเจ้าค่ะ"

"อย่าทำให้นางรู้"

เมื่อเขาพูดจบก็ได้หันหลังและเดินจากไป

หลังจากที่ฮุ่ยหลานกลับไปยังเรือนชิงซิน ก็ได้หยิบพิษกู่โลหิตที่กลั่นสำเร็จเมื่อวานออกมา จากนั้นได้ฝังเข้าไปในเลือดของตัวเอง......

เวลาผ่านไปหลายวัน เป่าลี่ว์ยังคงไม่กลับมา

อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิงหลิงยังคงนำของว่างไม่ซ้ำชนิดไปมอบให้กับท่านอ๋องฮุ่ยที่ค่ายทหารที่หนานเซี่ยวอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเทียบกับครั้งแรกแล้วนั้น ท่านอ๋องฮุ่ยได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางไปอย่างมาก

เขาเปิดกล่องอาหารต่อหน้าของนางและลองลิ้มรสขนมดอกซิ่งฮวาสองสามชิ้น

เมื่อลิ้มลองเสร็จก็ได้หยอกล้อนาง "ข้าไม่ชอบกินของหวาน แต่ที่พระชายาทำมานั้น ข้าต่างล้วนชอบอย่างมาก!"

แม้ว่าท่าทีของท่านอ๋องฮุ่ยจะเปลี่ยนไป แต่เขายังคงไม่ยอมให้นางเข้าไปในค่ายทหารของเขา

วันที่หก เลือดที่ไป๋ชิงหลิงเก็บมาจากศพของเด็กก็ปรากฏผลขึ้น

นางไปยังที่ว่าการอย่างเร่งรีบ และหรงเยี่ยก็อยู่ที่นั่นพอดี

เมื่อใต้เท้าเว่ยเห็นนางเข้ามาแววตาของเขาก็เปล่งประกาย จากนั้นจึงได้รีบเดินออกไปต้อนรับ "หมอหญิงไป๋ เจ้ามาแล้ว"

ไป๋ชิงหลิงแสดงความเคารพหรงเยี่ยตามมารยาท "คารวะท่านอ๋องหรงเพคะ"

"มีอะไรคืบหน้าหรือไม่?" หรงเยี่ยถาม

ไป๋ชิงหลิงพยักหน้าและหยิบรายงานที่ลงมือเขียนด้วยตัวเองออกมา

กระดาษในห้วงมิติเวลานั้นแตกต่างไปจากสมัยโบราณ นางจึงไม่กล้าหยิบออกมาและทำได้เพียงคัดลอกสำเนาออกมาหนึ่งฉบับเท่านั้น

นางยื่นรายงานสำเนาที่คัดลอกมาให้กับหรงเยี่ยและกล่าวว่า "เลือดของเด็กมีปัญหา"

นักชันสูตรศพโจวและนักชันสูตรศพจางที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกตกตะลึงขึ้นทันที

นักชันสูตรศพโจวกล่าวว่า "เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัญหา ข้าได้พิสูจน์แล้ว เลือดของเด็กไม่มีร่องรอยในการถูกยาพิษเลย นักชันสูตรศพจางก็ตรวจสอบแล้วเช่นกัน"

นักชันสูตรศพจางพยักหน้า "หรือหมอหญิงไป๋จะตรวจสอบผิดพลาดไป แค่ทำการพิสูจน์ตรวจสอบเลือดจำเป็นต้องใช้เวลาถึงหกวันเลยหรือ?"

ไป๋ชิงหลิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจความสงสัยของสองคนนี้

อุปกรณ์ที่อยู่ในห้วยมิติเวลาของนางไม่มีทางมีปัญหา ไม่มีพิษก็ไม่ได้หมายความว่าเลือดจะไม่มีปัญหา

ใต้เท้าเว่ยกลับอยากรู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ใด จึงไม่ได้สนใจความสงสัยของนักชันสูตรศพทั้งสอง

เขาหยิบรายงานสองฉบับไปจากมือของหรงเยี่ย และเมื่อพลิกไปพลิกมาดูแล้วนั้น ก็พบว่าเขาเองไม่รู้ถึงอักษรที่ต้องการจะสื่อสารออกมา

แน่นอนว่าหรงเยี่ยที่รับรายงานมาคนแรกก็อ่านไม่ออก "พูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"

"ท่านอ๋อง เด็กน้อยไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่กลับได้รับเชื้อของโรคชนิดหนึ่ง ทำให้เด็กๆ ตายลงเพราะอาการป่วย ส่วนเป็นโรคอะไรนั้น หม่อมฉันยังคงต้องทำการพิสูจน์ตรวจสอบในขั้นตอนต่อไปเพคะ"

ขณะที่ไป๋ชิงหลิงตรวจเจอว่าในเลือดของเด็กมีเชื้อโรคบางอย่างนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าคดีการลอบสังหารในครั้งนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

นางถึงขั้นรู้สึกได้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน

และเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเด็กที่ตายไป

ใต้เท้าเว่ยหายใจถี่และหันไปมองนักชันสูตรศพจางและนักชันสูตรศพโจว "พวกเจ้าสองคนได้ผ่าพิสูจน์ร่างของเด็กแล้วไม่ใช่หรือ พวกเจ้าไม่พบเห็นความผิดปกติเลยอย่างนั้นหรือ?"

นักชันสูตรศพโจวจ้องมองไป๋ชิงหลิงและกล่าวอย่างมั่นใจ "ไม่มีเลยขอรับใต้เท้าเว่ย"

นักชันสูตรศพจางก็กล่าวขึ้นมาเช่นกัน "ข้าน้อยได้ผ่าพิสูจน์สองศพ รวมไปถึงบริเวณศีรษะ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติขอรับ เด็กที่ตายไปไม่เหมือนตายไปเพราะอาการป่วยติดเชื้อ แต่เหมือนการหิวตายมากกว่าขอรับ"

"เพราะเชื้อโรคได้กัดกินเลือดของพวกเขา ใต้เท้าเว่ยได้เคยเปิดโลงศพเพื่อทำการพิสูจน์ศพอีกครั้งหรือไม่!" ไป๋ชิงหลิงถาม

ขณะที่ใต้เท้าเว่ยได้ยินคำนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมอย่างมาก

เขาเงยหน้าขึ้นมองหรงเยี่ย อย่างไรเสียก็ถือเป็นคดีสำคัญ ควรหรือไม่ควรพูดนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำตัดสินใจจากท่านอ๋องหรง

หรงเยี่ยพยักหน้า จากนั้นใต้เท้าเว่ยจึงกล่าวขึ้นมา "เปิดแล้ว แต่ศพกลับเน่าเละเป็นหนอง และกลายเป็นแอ่งน้ำ"

"และปัญหาก็อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ทำได้เพียงคาดเดาว่า เชื้อโรคนี้ไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ ในขณะที่คนยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่ตายไปแล้วนั้น เชื้อโรคกลับกัดกินร่างกายเข้าไปอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าร่างกายจะตายไปแล้ว แต่พวกมันยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้น ผลชันสูตรพลิกศพของนักชันสูตรศพทั้งสองคนก็ไม่ได้ผิดอะไร เด็กๆ ต่างตายไปเพราะอาการหิวตายและโยนศพทิ้งไป"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น