เสิ่นหรูเหลียนชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปจ้องเสิ่นโหรวเม่ย
เมื่ออายุได้สิบสองปีเขาเข้าสู่สนามรบพร้อมเหล่าทหารผ่านศึก หลังจากกลับมาเมืองหลวง เขาก็ถูกส่งไปประจำการนอกเขตชานเมืองหลวง นานๆ ครั้งจะกลับมาจวนตระกูลเสิ่น
เขาจะเข้าใจเรื่องพลิกผันในตระกูลและความคิดผู้หญิงได้อย่างไร
ยามเสิ่นโหรวเม่ยบอกคำเหล่านั้นกับเขา สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงน้องสาวที่ถูกรังแก
อีกทั้งผู้ลบหลู่เบื้องสูงเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด เดิมทีเขาอยากสังหารไป๋ชิงหลิงก่อนแล้วจึงรายงานองค์จักรพรรดิ แต่สิ่งที่ไป๋ชิงหลิงพูดเมื่อครู่กลับทำให้เขาตะลึง
เขาสามารถนั่งในตำแหน่งแม่ทัพทหารม้าเกราะเงินได้ เขาย่อมมีสมอง
ยามเขามองดวงตาเสิ่นโหรวเม่ย ทันใดนั้นก็เกิดอาการหนาวสั่น
เสิ่นโหรวเม่ยผงะ นางยังคงร้องไห้ “พี่ใหญ่ นางถือกริชของข้าไว้ในมือ หากท่านไม่เชื่อก็ลองค้นหาดูก่อน กริชนั่นคือหลักฐาน”
“ไม่ต้องหา!” ไป๋ชิงหลิงหยิบกริชออกมาอย่างใจเย็น “อยู่นี่ไง”
นางขว้างกริชกลับไปเมื่อกล่าวจบ
เสิ่นหรูเหลียนประสานมือรับมันแล้วตรวจสอบอีกครั้ง มีคำว่าเม่ยที่เขียนด้วยลายมือของเขาอยู่บนนั้น!
ในวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของเสิ่นโหรวเม่ย เขาทำกริชเอง ทั้งยังสลักชื่อนางลงไป
เสิ่นโหรวเม่ยกล่าวต่อ “ท่านดูสิ กริชนี้อยู่บนร่างนาง นางฉกฉวยมันไปจากข้าโดยที่ข้าไม่ทันได้สังเกตในยามที่นางพาข้าไปหลังเขา”
ดวงตาเสิ่นหรูเหลียนหรี่ลงอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋ชิงหลิง “เจ้าจะอธิบายอย่างไร?”
“ง่ายมาก ก่อนจะฉกกริชของคุณหนูเสิ่นมาได้ ข้าต้องรู้ก่อนว่าคุณหนูเสิ่นซ่อนกริชไว้ที่ใด?” ไป๋ชิงหลิงถาม
เสิ่นโหรวเม่ยเล่าว่า “การรักษาผู้ป่วยโรคระบาดในช่วงสองสามที่ผ่านมา ข้ายกใช้กริชมาใช้อยู่บ่อยครั้ง ตราบใดที่คนมีใจสังเกตสักนิดย่อมรับรู้ถึงความเคยชินของข้า”
“อืม นั่นก็สมเหตุสมผล” ไป๋ชิงหลิงเย้ยหยัน “แล้วในเมื่อข้าต้องการสังหารท่าน เหตุใดข้าถึงต้องพาท่านมาหาพี่ชายด้วย เหตุใดข้าไม่แค่สังหารท่าน แล้วโยนร่างท่านให้เผาไหม้ในกองไฟ ด้วยวิธีนี้ข้าจะสามารถทำให้เหมือนเหตุใดตายด้วยโรคระบาดได้ มันจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเผาร่างท่าน ไม่เพียงแต่จักรพรรดิไม่อาจประณามข้าได้ แต่ตระกูลเสิ่นของท่านก็ไม่สามารถทำให้ข้าอับอายเพราะเรื่องนี้ได้เช่นกัน ทั้งยังต้องสรรเสริญข้าว่าทำได้ดี!”
เอ่อ......
เสิ่นโหรวเม่ยถูกทำให้ตาค้างเพราะคำพูดของนาง
นางเพียงต้องการยืมมือเสิ่นหรูเหลียนสังหารไป๋ชิงหลิง นางจึงสร้างสถานการณ์เล็กๆ นี้ขึ้นมา นางคิดว่าเสิ่นหรูเหลียนจะชักดาบสังหารนางทันทีที่ได้ยินว่านางเป็นขโมย คาดไม่ถึงว่าเจ้าคนโง่เขลาเสิ่นหรูเหลียนจะ...
“ฉับ!”
“อ๊ายยย!”
ก่อนเสิ่นโหรวเม่ยจะตอบสนอง เสิ่นหรูเหลียนก็ชักดาบออกมาตัดนิ้วก้อยซ้ายของเสิ่นโหรวเม่ยทิ้ง
เสียงร้องอนาถดังลั่นทันที!
“เสิ่นหรูเหลียน...ท่าน...ท่านตัดนิ้วข้า...”
“ปั้นเรื่องโกหกมากมาย ข้าไม่สังหารเจ้าเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง เจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่” เสิ่นหรูเหลียนพูดต่อด้วยเสียงต่ำ “ไปซะ”
เขาเกลียดคนโกหก เกลียดคนกินแรงและคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย!
โดยเฉพาะ...ผู้หญิง
เสิ่นโหรวเม่ยกำนิ้วก้อยซ้ายของนางแล้วทรุดกายบนพื้นด้วยความเจ็บปวด นางร้องไห้เสียงดัง
เดิมไป๋ชิงหลิงสามารถทำให้นิ้วก้อยของนางกลับมาได้ แต่เสิ่นโหรวเม่ยพยายามสังหารนางครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นนางจึงคิดว่าเป็นการดีที่ตัดมันทิ้ง เพื่อที่นางจะได้มีความทรงจำที่ยาวนาน
“แม่ทัพเสิ่นที่ข้ามาหาท่านในวันนี้เพราะข้าหวังให้ถอนกำลังทหารทั้งหมดกลับเฉาจิง” ไป๋ชิงหลิงพูด
เสิ่นหรูเหลียนกลับมารู้สึกตัว เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านเป็นใคร?”
“ข้าคือพระชายาฮุ่ย!” ไป๋ชิงหลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงคมชัด
เสิ่นหรูเหลียนและทหารม้าโดยรอบทำความเคารพอย่างรวดเร็ว “ผู้น้อยคารวะพระชายาฮุ่ย”
“อย่าได้มากพิธี” ไม่ว่าอย่างไรฐานะพระชายาฮุ่ยของนางนี่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก...
เสิ่นหรูเหลียนกลับมารู้สึกตัวจึงพูดว่า “พระชายาฮุ่ย ข้าน้อยต้องเคลื่อนพลไปยังหมู่บ้านจางซู่ตามราชโองการ ไม่สามารถถอนทัพกลับเฉาจิงได้ เว้นแต่องค์จักรพรรดิจะทรงมีรับสั่งเรียกคืนราชโองการ”
“หากองค์จักรพรรดิทรงเกิดปัญหาเล่า?” จากความทรงจำของไป๋ชิงหลิงคนก่อน นางพบข้อมูลเกี่ยวกับแม่ทัพเสิ่น
ครั้งหนึ่งเขาเคยรักษาการณ์ที่เมืองเยี่ยนหนานร่วมกับอ๋องหรง เขาเป็นคนซื่อตรง ไม่เห็นแก่ตัว และไม่มีความเห็นอกเห็นใจญาติพี่น้องของตน
ในสายตาเขามีเพียงถูกและผิดเท่านั้น
เป้าหมายมีเพียงทำตามรับสั่งของจักรพรรดิเหยา
กล่าวได้ว่าเขาโหดร้ายและโหดเหี้ยมพอๆ กับอ๋องฮุ่ย แต่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์
เห็นได้ชัดว่าเขาปลดประจำการกลับสู่ราชสำนัก แต่เขาอยู่ในกองทัพหลายปี ความสัมพันธ์กับทหารม้าเกราะเงินแน่นแฟ้นจนแยกไม่ออก
เขาเป็นคนแปลกแยกของตระกูลเสิ่น แต่ความรุ่งโรจน์บนร่างเขาคือสิ่งที่ช่วยเติมลายลงบนผ้าดิ้น [1] อย่างตระกูลเสิ่น
เสิ่นหรูเหลียนมองนางอย่างประหลาดใจ “องค์จักรพรรดิกำลังมีปัญหาหรือ?”
“ใช่ เราต้องกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด องค์จักรพรรดิและอ๋องหรงไม่อาจรอช้าได้แล้ว” ไป๋ชิงหลิงกล่าวต่อ
“เกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยไม่เคยได้รับข่าวการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเมืองหลวงเลย พระชายาฮุ่ยรู้ได้อย่างไร ใครกันที่ต้องการทำร้ายองค์จักรพรรดิ?”
“อ๋องฮุ่ย!”
“อะไรนะ!” เสิ่นหรูเหลียนเขย่าร่างนางอย่างรุนแรงแล้วมองนางด้วยความไม่เชื่อ
“อ๋องฮุ่ย...” นางหลุบตาลง ประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตานาง นางยังพูดต่ออย่างใจเย็น “กำลังจะก่อกบฏ!”
เสิ่นหรูเหลียนสูดหายใจลึก
“ทหาร!” เขาตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ทหารม้าเกราะเงินสองคนก้าวมาข้างหน้า
เสิ่นหรูเหลียนโค้งคำนับไป๋ชิงหลิงเล็กน้อย “พระชายาฮุ่ยล่วงเกินท่านแล้ว หากพิสูจน์ได้ว่าอ๋องฮุ่ยทรงก่อกบฏ ข้าน้อยจะทูลร้องขอองค์จักรพรรดิให้ทรงละเว้นพระชายาฮุ่ย”
หลังพูดจบ เขาก็ก้าวถอยหลังแล้วโบกมือ “มัดนางไว้”
ไป๋ชิงหลิงขมวดคิ้ว นางแทบอาเจียนเป็นเลือดจากการกระทำของเสิ่นหรูเหลียน
เสิ่นหรูเหลียนผู้นี้ซื่อสัตย์ยุติธรรมจนไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม เกินไปแล้ว เขาแข็งกร้าวยิ่งนัก
เขาคิดหรือว่าการจับนางซึ่งเป็นพระชายาฮุ่ยไว้จะสามารถบังคับให้อ๋องฮุ่ยล่าถอยได้
แม้ปรมาจารย์หลูจะบอกเขาว่านางคือดาวหงส์ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่อ๋องฮุ่ยจะละทิ้งโอกาสที่เขารอคอยเพื่อนาง
ในไม่ช้า ทหารม้าเกราะเงินก็รวบตัวนางไว้
เสิ่นโหรวเม่ยหัวเราะฮ่าฮ่าอย่างลืมความเจ็บปวด “ไป๋เจาเสวี่ย ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะโยนตัวเองลงไปในกับดัก”
ไป๋ชิงหลิงหรี่ตาลง
เสิ่นโหรวเม่ยยิ้มอีกครั้ง “เสิ่นหรูเหลียนเป็นคนวิกลจริต เขาสังหารได้แม้กระทั่งน้องชาย ทั้งยังตัดศีรษะมารดาได้ด้วยมือตนเอง ตัวเจ้าจะนับเป็นสิ่งใดได้”
เมื่อเสิ่นโหรวเม่ยพูดคำเหล่านี้ ไป๋ชิงหลิงก็ไม่สามารถสงบได้อีกต่อไป
เสิ่นหรูเหลียนกับเสิ่นโหรวเม่ยเกิดจากแม่คนเดียวกันไม่ใช่หรือ?
เสิ่นหรูเหลียนกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “มัดนางใส่กระสอบแล้วส่งกลับไปยังหอบรรพชนตระกูลเสิ่น”
“เสิ่นหรูเหลียนเจ้ากล้าดีอย่างไร เจ้ากล้า เจ้าช่างกล้า มารดาของข้าจะไม่ปล่อยเจ้า ยังมีเสด็จป้าฮองเฮาของข้า เจ้านับเป็นอะไร...อืออือ...” ทหารม้าเกราะเงินเข้ามาปิดปากนางทันที แล้วใช้ถุงผ้าสีดำใบใหญ่คลุมร่างนางไว้
เสียงทั้งหมดของนางถูกปิดกั้นไว้ภายในถุงผ้านั้น
แต่ไป๋ชิงหลิงก็ไม่ได้มีความสุขมากนัก
ดูเหมือนตระกูลเสิ่นจะไม่ดีอย่างข่าวลือภายนอกว่าไว้
ตัวตนเสิ่นหรูเหลียนนั้นเป็นปริศนา
เพราะโลกภายนอกเชื่อมาตลอดว่าเสิ่นหรูเหลียนเกิดจากฮูหยินเสิ่นคนปัจจุบัน!
เสิ่นหรูเหลียนเดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “พระชายาฮุ่ยล่วงเกินแล้ว”
เขาอุ้มนางขึ้นแล้ววางนางบนรถม้า แน่นอนว่าหลังจากวางนางลงเขาก็กลับออกไป แล้วโยนเสิ่นโหรวเม่ยเข้ามาในรถม้าอย่างแรง
เกิดเสียงดัง “ปัง” พร้อมเสียงกรีดร้องของเสิ่นโหรวเม่ยที่ถูกมัดไว้ในถุงผ้า “ปล่อยข้านะ เสิ่นหรูเหลียน ข้ากราบทูลขอให้เสด็จป้าฮองเฮาสังหารเจ้า”
ไป๋ชิงหลิงนั่งนิ่งเงียบบนเบาะนิ่ม
มือและเท้าของนางถูกมัด แต่ร่างกายของนางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เสิ่นหรูเหลียนยังคงเหลือมีพื้นที่เล็กน้อยไว้ให้นาง
แม้เขาจะแข็งกระด้าง แต่เขาก็เป็นคนฉลาด
นางเตะเสิ่นโหรวเม่ยอย่างแรง “คุณหนูเสิ่น หยุดเอะอะเสียที เรากำลังกลับเมืองหลวงแล้ว!”
.........................
เชิงอรรถ
[1] เติมลายลงบนผ้าดิ้น (锦上添花) ทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น หรือการเพิ่ม เสริม เติมแต่งในดียิ่งขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น