ทันใดนั้น เสียงร้องไห้ก็หยุดลง สายตาทุกคนมองไปยังโลงน้ำแข็ง ภายในสุสานจักรพรรดิก็เงียบเป็นเป่าสาก บรรยากาศเงียบไปไม่กี่อึดใจ เสียงไอจากโลงน้ำแข็งก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เหล่าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างโลงน้ำแข็งเบิกตาโพล่งขึ้นมาทันที แล้วตะโกนเสียงดัง:“ท่านอ๋องหรงฟื้นแล้ว!”
ท่านอ๋องหรงฟื้นแล้ว——ห้าคำนี้ ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างรุนแรง
เดิมทีทุกคนที่กลั้นหายใจ กลับสูดหายใจหนักขึ้นกว่าเดิม และคนที่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาคนแรกก็คือ ไป๋ชิงหลิง!
เธอปล่อยหรงจิ่งหลิน แล้วรีบเดินมาทางโลงน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เธอเดินมาตรงหน้าโลงน้ำแข็ง ก็เห็นว่าหรงเยี่ยลืมตาขึ้น ยิ้มมาให้เธอ
ไป๋ชิงหลิงรู้สึกคัดที่จมูกขึ้นมา น้ำตารื้น ยื่นมือไปพยุงเขาออกมาจากโลงน้ำแข็ง หลังจากนั้นก็กอดเขาเอาไว้ แล้วร้องเรียก:“หรงเยี่ย......”
หรงเยี่ยไออยู่ในอ้อมกอดเธออยู่หลายครั้ง ไป๋ชิงหลิงรีบปล่อยเขา แล้วก้มหน้ามองดู
ร่างเธอเต็มไปด้วยเลือด มีแต่รอยเลือดที่เป็นของเธอเอง แล้วก็ยังมีเลือดที่เขาพึ่งจะไอใส่บนตัวเธอเมื่อครู่
เธอดึงผ้าเช็ดหน้าในมือของหรงเยี่ย แล้วเช็ดให้เขา
ในที่สุดไทเฮาฮุ่ยกับจักรพรรดิเหยาก็รู้สึกตัว ว่าท่านอ๋องหรงที่บรรดาหมอหลวงต่างก็ตัดสินว่าสิ้นพระชนม์แล้ว ถูกไป๋ชิงหลิงช่วยชีวิตให้ฟื้นแล้ว
“เร็วเข้า มัวอึ้งอะไรกัน รีบไปพยุงท่านอ๋องหรงขึ้นมา”
“อย่านะ!” ไป๋ชิงหลิงห้ามไว้:“ท่านอ๋องหรงยังอยู่ในช่วงที่เชื้อสามารถแพร่กระจายได้อยู่ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้เขา......”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ ร่างกายก็ถูกคนผลักออก
ข้างหูมีเสียงที่อ่อนแรงของหรงเยี่ยดังขึ้น:“เจ้าก็…...ออกไป อย่าเข้าใกล้ข้า”
“ข้าไปไหนไม่ได้ ข้าต้องอยู่รักษาท่าน” ไป๋ชิงหลิงเกาะโลงน้ำแข็ง มือประคองไว้ที่ใบหน้าของหรงเยี่ย:“อีกอย่าง มันก็ไม่ทันแล้ว เมื่อครู่ที่ข้าป้อนยาท่าน ข้าใช้ตรงนี้!”
นิ้วเธอชี้ไปที่ริมฝีปากของเขา
หรงเยี่ยจับไปที่ข้อมือของเธอ มองเธอแล้วพูด:“ทำไมโง่เช่นนี้!”
“ข้าไปเก็บเหมันต์พิสุทธิ์ที่สันเขาอินทรีหิมะมาอย่างยากลำบาก ทำไมท่านถึงใช้จังหวะที่ข้าไม่อยู่ แอบหนีไปแบบนี้ล่ะ ท่านดูสิ จิ่งหลินร้องไห้สภาพเป็นยังไง ท่านทำให้ไทเฮาต้องเป็นห่วง ท่านนี่เป็นลูกที่อกตัญญูจริงๆ” แม้ว่าปากเธอจะตำหนิไม่หยุด ทว่าใบหน้านั้นกำลังร้องไห้ เธอจับมือของหรงเยี่ยเบาๆ ในใจยังคงสั่นไหว
ไทเฮามองฉากตรงหน้า ไม่กล้าจะรบกวนอีก:“จักรพรรดิ เจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นคนในตำหนักจะคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น พวกขุนนางจะเป็นกังวลเอา ส่วนหมอหลวงรออยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่คอยสอดส่องดูแลแทนเจ้าเอง”
“แต่ว่า ร่างกายของท่านแม่......”
“ถ้าจะแย่ คงไม่แย่ไปกว่าเมื่อครู่หรอก ใช่ไหม?” ไทเฮามองหรงเยี่ยที่ฟื้นขึ้นมา:“แม่วางใจไม่ลงจริงๆ แต่พอมองเยี่ยเออร์ที่ยังมีชีวิตเช่นนี้ จิตใจแม่ก็สงบลงบ้างเล็กน้อย เจ้าไปเถอะ เจาเสวี่ยคงดูแลเขาสุดความสามารถอย่างแน่นอน เจ้าก็เห็นแล้ว”
จักรพรรดิเหยามองไปทางไป๋ชิงหลิง ถึงแม้ว่า......เขาจะไม่อยากให้ลูกชายของตนเองแต่งกับสตรีที่เคยมีลูกมาก่อนอย่างมาก แต่ว่า ไป๋เจาเสวี่ยทำถึงขั้นนี้แล้ว แล้วเขายังต้องการอะไรอีก?
ตอนนี้ดูเหมือนว่า คงมีแค่ความสามารถของไป๋ชิงหลิง ที่คู่ควรกับลูกดื้อรั้นหัวแข็งคนนี้ของเขา
“เช่นนั้นก็ได้ แล้วข้าจะกลับมาเยี่ยมเขาในภายหลัง”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าไปๆมาๆก็เหนื่อยมากแล้ว โรคระบาดก็ยังไม่ทันได้แก้ปัญหา เจ้าวางใจแล้วไปจัดการงานบ้านเมืองเถอะ ที่นี่มีฮองเฮากับแม่อยู่ ทุกวันพวกเราจะส่งจดหมายไปให้เจ้า” ไทเฮาพูด
จักรพรรดิเหยาพยักหน้า แล้วหันไปดูหรงเยี่ยกับไป๋ชิงหลิงที่กอดกันอยู่ ไม่นานก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป
หลังจากที่จักรพรรดิไปแล้วนั้น ก็เรียกคนให้ไปเอาผ้าห่มกับที่นอนมา
ถ้าหรงเยี่ยออกไปด้านนอกตอนนี้ คงจะแพร่ใส่คนอื่นอย่างแน่นอน
เขาเลยต้องพักอยู่ที่สุสานจักรพรรดิจนร่างกายของเขานั้นหายดี
ฮองเฮาฟื้นขึ้นมาก็รู้ว่าหรงเยี่ยฟื้นแล้ว ท่าทีที่มีต่อไป๋ชิงหลิงนั้นคือความสุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน……
ความลับของทางราชวงศ์ถูกรวมอยู่ที่โรงเตี๊ยม ฮองเฮาและไทเฮากำลังรอคนอยู่ในโรงเตี๊ยม
ส่วนเด็กสองคนนั้นยังยืนหยัดอยู่ที่สุสานจักรพรรดิต่อ ทว่า พวกเขานั้นไม่สามารถเข้าใกล้หรงเยี่ยได้
หลังจากที่หรงเยี่ยฟื้นขึ้นมา ไป๋ชิงหลิงก็ป้อนยาป้องกันเชื้อให้เขาอีกครั้ง แถมยังบดผสมให้เขาด้วย
เขาจ้องไปที่ไป๋ชิงหลิงไม่วางตา มือจับไปที่มืองของเธอ
ไป๋ชิงหลิงเตือนเขา:“ท่านต้องพักผ่อนแล้วนะเพคะ”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าร้องไห้ เพราะข้า?” หรงเยี่ยมองเธอที่ร้องจนตาแดงก่ำ
บาดแผลที่ใบหน้าของเธอได้รับการรักษาแล้ว แต่รอยช้ำที่ถูกกระแทกยังคงชัดเจนอยู่ เป็นครั้งแรกที่หรงเยี่ยเห็นเธอลำบากขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในจวน ทั้งๆที่เธอถูกเขาใช้แส้ตีอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ยังดื้อรั้น ทำใจกล้า ราวกับเป็นลาตัวหนึ่ง
ไป๋ชิงหลิงหันหน้าไปทางอื่นแล้วพูด:“ก็ใช่น่ะสิเพคะ ท่านสิ้นแล้ว ถ้าข้าไม่ร้องไห้สักหน่อยคงจะรู้สึกผิดกับของมีค่าที่ก่อนหน้านี้ท่านมอบให้ข้ามากมายขนาดนั้น”
ริมฝีปากหรงเยี่ยกระตุกยิ้มเล็กน้อย นิ้วหัวแม่มือลูบไปที่หลังมือเธอเบาๆ
“เรื่องที่รับปากข้าไว้ อย่าลืมล่ะ”
“เรื่องอะไรเพคะ?” ไป๋ชิงหลิงกระพริบตา
หรงเยี่ยหรี่ตามอง แล้วหลับตาลง ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
ไป๋ชิงหลิงผลักเขาออก:“หรงเยี่ย”
เขาก็ยังคงไม่ขยับ
ไป๋ชิงหลิงผลักเขาอีกครั้ง
ผลักอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ยังไม่ขยับแต่อย่างใด ไป๋ชิงหลิงเริ่มใจคอไม่ดี เธอรีบหยิบเครื่องตรวจฟังเสียงออกมา แล้วสอดเข้าไปเสื้อเขา กลับถูกเขากดมือเอาไว้
เธอชักมือกลับอย่างรวดเร็ว:“เมื่อครู่ทำไมท่านไม่ตอบ?”
เขาลืมตาขึ้นมา แล้วจ้องเธอไม่วางตา
มองจนไป๋ชิงหลิงประหม่า
เธอยอมรับ ความรู้สึกที่เธอมีต่อหรงเยี่ย มันถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว
เธอคิดดีแล้ว ถ้าอยู่มาวันหนึ่งเขารู้ฐานะที่แท้จริงของเธอ แล้วไม่อยากจะอยู่ดูแลกันและกันกับเธอต่อแล้ว เธอก็จะพาลูกออกจากเมืองหลวงโดยไม่เหลือความเสียดายอะไรไว้
ให้เหตุผลในการตัดใจทั้งเขา ทั้งตัวเธอเอง
เกิดเป็นคนก็ควรจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ควรกังวลคิดถึงอยู่แต่กับอดีต ไม่เช่นนั้น เธอก็จะเหนื่อยกับการใช้ชีวิต
ไป๋ชิงหลิงมองเขา แล้วก้มตัวลง กอดอยู่ในอ้อมกอดของเขา
หรงเยี่ยค่อนข้างแปลกใจ แต่ความรู้สึกหลังจากที่แปลกใจนั้นคือมีความสุขเป็นอย่างมาก นี่ก็คือยาที่ดีที่สุดในโลก
ยาของเขา ชีวิตของเขา!
เขากอดเธอแน่น หลับตาทั้งสองข้างด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
สิบวันผ่านไป อาการป่วยของหรงเยี่ยควบคุมได้แล้ว และค่อยๆดีขึ้น
เขาไม่ไอเป็นเลือดอีกแล้ว
ทุกๆวันฮองเฮาจะมาเยี่ยมเขา หลวนอี๋ก็อยากจะไปคุยเล่นกับพวกเขาเหมือนกัน แต่ไป๋ชิงหลิงไม่อนุญาตให้เธอเข้าใกล้
เขาก็เลยพักรักษาตัวอยู่ในสุสานจักรพรรดิอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ
นี่เป็นการป่วยครั้งที่หนักที่สุดในชีวิตของหรงเยี่ย
ที่โชคดีก็คือ ไป๋ชิงหลิงที่คลุกคลีอยู่กับหรงเยี่ยอย่างสนิทสนมทุกวัน ไม่ได้ติดโรคจากเขา
เธอคิดว่า คงเป็นเพราะยาที่เธอกินเหมือนกันกับหรงเยี่ยทุกวัน เธอได้ฆ่าเชื้อล่วงหน้าไปแล้ว
หรงเยี่ยจับมือของไป๋ชิงหลิง แล้วเดินไปที่หน้าโลงน้ำแข็งของอดีตฮองเฮา แล้วพูด:“ได้เจอท่านหรือยัง?”
ไป๋ชิงหลิงนิ่งอึ้งไป แล้วเงยหน้ามองเธอ
หนึ่งเดือนนี้ ไม่มีใครพูดถึงผู้หญิงที่อยู่ในโลงน้ำแข็งนั้นเลย ไป๋ชิงหลิงก็ไม่กล้าถามประวัติที่มาของคนตายเช่นกัน
คนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างสูงส่งเช่นนี้ คงจะมีแค่อดีตฮองเฮา ผู้หญิงที่ตายแทนจักรพรรดิเหยา
“ท่านคือเสด็จแม่ข้า” หรงเยี่ยจับมือของไป๋ชิงหลิงแน่น หลังจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“แล้วก็เป็นเสด็จแม่เจ้าด้วย”
“ไม่ใช่เพคะ!” ไป๋ชิงหลิงปฏิเสธทันควัน หลังจากนั้นก็จ้องตาเขาไม่กะพริบ:“ยังไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกัน พูดมั่วซั่วได้ยังไงเพคะ”
“อืม เช่นนั้นพวกเราก็กราบไหว้ฟ้าดินที่นี่เลย”
“ท่านอย่าก่อกวนสิเพคะ”
เขาลากเธอ เดินมาหน้าโลงน้ำแข็ง แล้วคุกเข่าลงที่พื้น
ไป๋ชิงหลิงเห็นเช่นนี้ เลยต้องคุกเข่าตามเขาลง......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...