“ใช้การตายบีบบังคับ?” แจกันดอกไม้ที่เสิ่นโหรวเม่ยชูขึ้นสูงจู่ๆก็ค้างกลางอากาศ เธอวางแจกันดอกไม้ลง แล้วรีบวิ่งมาทางฮูหยินเสิ่น พุ่งเข้ามาร้องห่มร้องไห้ในอ้อมกอดเธอ:“ได้จริงๆเหรอเพคะ ท่านแม่ ต่อให้เสด็จป้าใช้การตายมาบีบบังคับ เขาก็ไม่มีทางแต่งกับข้าหรอก เขารักไป๋เจาเสวี่ยคนไร้ยางอายนั่นจะตายเพคะ”
มือของฮูหยินเสิ่นวางไว้ที่ส่วนหลังของเสิ่นโหรวเม่ย แล้วลูบปลอบใจ:“พี่เยี่ยของเจ้าดูภายนอกเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ความจริงแล้วมีความกตัญญูและชอบธรรมที่สุดในบรรดาเชื้อพระวงศ์ เสด็จป้าเจ้ากับเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิดพี่เยี่ยของเจ้าเป็นพี่น้องญาติสนิทกัน เขาไม่มีทางปล่อยเสด็จป้าเจ้าตายหรอก”
โหรวเม่ยของเธอรอเขามาตั้งนาน เธอมีหรือจะยอมแพ้ไปง่ายๆเช่นนี้
ถ้าหากฐานะของเธอไม่สามารถโน้มน้าวจักรพรรดิได้ คงต้องเชิญท่านผู้เฒ่าเสิ่นแล้วล่ะ
ท่านเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้า จักรพรรดิเหยาคงต้องไตร่ตรองหนัก
เธอไม่สามารถพูดอะไรที่ทำให้ลูกสาวของตนเองน้อยใจได้
แต่เสิ่นโหรวเม่ยกลับร้องไห้อย่างควบคุมไว้ไม่ได้ เพราะเธอคิดว่า เธอไม่มีทางได้ครอบครองหรงเยี่ยตลอดไป
ต่อให้มีวันหนึ่งที่เธอได้แต่งเข้าจวนท่านอ๋องหรง เธอก็มัดใจท่านไม่ได้อยู่ดี
นอกเสียจากไป๋เจาเสวี่ยตายไป
“ท่านแม่…...ทำไมไป๋เจาเสวี่ยไม่ตายล่ะเพคะ ถ้านางตายที่สันเขาอินทรีหิมะคงจะดีกว่านี้ ได้ยินมาว่านางตกหน้าผาแต่ก็ยังมีชีวิตกลับมาได้” ความริษยาในใจเสิ่นโหรวเม่ยคอยกระตุ้นสติปัญญาของเธอไม่หยุด
ใช่ ถ้าไป๋เจาเสวี่ยตายไป ก็จะไม่มีใครมาคอยแย่งท่านอ๋องหรงกับเธอ
ส่วนฮูหยินเสิ่นพอได้ยินคำพูดของเธอ นัยน์ตาก็เผยแสงเยือกเย็นออกมา
“เจ้าวางใจเถอะ แม่ไม่มีทางให้เจ้ารอเสียเปล่าแน่”
ได้ยินคำพูดของฮูหยินเสิ่น จิตใจเสิ่นโหรวเม่ยก็สงบลงขึ้นเยอะ มือทั้งสองของเธอกอดร่างของฮูหยินเสิ่นแน่น อิงซบอยู่ในอ้อมกอดเธอ ไม่นานก็ร้องไห้จนเหนื่อย แล้วผลอยหลับไป
หลังจากที่ฮูหยินเสิ่นห่มผ้าให้เธอเสร็จแล้วนั้น ก็เดินออกมาจากห้อง
แม่นมเดินเข้ามาจากด้านนอกเรือน มาตรงหน้าเธอแล้วพูด:“ฮูหยิน ฮองเฮากลับเมืองหลวงแล้วเพคะ ท่านอ๋องหรงก็หายเป็นปกติแล้วเช่นกันเพคะ จักรพรรดิมาต้อนรับที่หน้าประตูเมืองด้วยพระองค์เอง แถมยังยืมตัวเต๋อเฟย เพื่อจัดงานพิธีเฉลิมฉลองด้วยเพคะ”
“ดี เตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวังสักหน่อย”
หลังจากไป๋ชิงหลิงเดินตามคนกลุ่มใหญ่กลับมาที่วังหลวงแล้ว ก็ตามหรงเยี่ย ฮองเฮา องค์หญิงหลวนอี๋รวมถึงจักรพรรดิเหยามาที่ตำหนักฮุ่ยหนิง
แม่นมอวี่ประคองไทเฮานั่งลง แล้วพัดเบาๆให้
ขณะที่เงยหน้าขึ้นนั้น ก็เห็นลูกๆหลานๆเดินเรียงกันออกมา ยิ้มด้วยความดีใจ:“ดีมาก กลับมากันแล้ว”
สายตาของเธอมองที่ร่างของไป๋ชิงหลิง:“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคุณงามความดีของเจาเสวี่ย”
“ไทเฮาตรัสเกินไปแล้วเพคะ ถ้าไม่ได้การช่วยเหลือจากแม่ทัพเสิ่นกับท่านอ๋องต้วน รวมถึงทหารองครักษ์เหยี่ยวดำ เจาเสวี่ยเกรงว่าคงตายอยู่สันเขาอินทรีหิมะ ไม่ได้นำเหมันต์พิสุทธิ์กลับมาหรอกเพคะ” ไป๋ชิงหลิงกล่าว
ไทเฮาหัวเราะอย่างมีเมตตา หลังจากนั้นก็กวาดสายตาไปมองจักรพรรดิเหยา แล้วถาม:“จักรพรรดิ เจ้ามีอะไรจะพูด”
จักรพรรดิเหยากระแอมเล็กน้อย แล้วกวาดสายตามองไป๋ชิงหลิง:“เสด็จแม่ ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
ไทเฮาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที:“เจาเสวี่ยทำคุณูปการขนาดนี้ เจ้าไม่ชมเชยหน่อยหรือไง”
ฮองเฮาอู่ก็มองจักรพรรดิเหยาด้วยท่าทีร้อนใจเช่นกัน
จักรพรรดิเหลือบตามองไป๋ชิงหลิง แล้วพูด:“แน่นอนว่ามี เพียงแต่…...ก่อนหน้านี้ข้าเคยรับปากหมอหญิงไป๋ รอนางจัดการเรื่องท่านอ๋องฮุ่ยแทนข้าได้แล้ว ก็จะคืนอิสระให้นาง คิดดูแล้วนางคงไม่ชอบเหล่าเชื้อพระวงศ์ ไม่ชอบการบังคับ”
พูดจบ สีหน้าของหรงเยี่ยก็ดำทะมึนขึ้นมา
ลูบหนังสือรับรองที่พกติดตัวอยู่ตลอด แล้วโยนไปข้างๆฟางกงกง:“ไม่รักษาคำพูด”
ไป๋ชิงหลิงมองไปทางหนังสือรับรองที่เขาโยนออกไป ฟางกงกงรับไว้ไม่ทัน ก็เลยตกลงบนพื้น
ไป๋ชิงหลิงมองเห็นเนื้อหาในนั้นพอดี ใบหน้าแดงระเรื่อ......
มันคือหนังสือปฏิเสธการแต่งงานที่เธอเคยขอจักรพรรดิเหยาในตอนแรก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเฉกเช่นเรื่องของท่านอ๋องฮุ่ยในอนาคตอีก แล้วให้จักรพรรดิเหยาตัดสินใจ
แต่วันนี้หนังสือรับรองฉบับนี้ กลับเหมือนเอามาตบหน้าเธอจริงๆ
จักรพรรดิจ้องเขม็งไปที่ฟางกงกง:“ทำไมไร้ประโยชน์เช่นนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสมควรตายที่รับไว้ไม่ได้” ฟางกงกงคล้อยตาม หลังจากนั้นก็รีบเก็บขึ้นมา แล้วส่งให้จักรพรรดิเหยา
จักรพรรดิเหยายื่นหนังสือรับรองส่งไปในมือของไทเฮา
ไทเฮาเปิดดู สายตาก็เหลือบขึ้นมองไป๋ชิงหลิง แล้วมองไปที่หรงเยี่ยอีกครั้ง สุดท้ายจึงถอนหายใจ:“เจาเสวี่ย เจ้าไม่ชอบเยี่ยเอ๋อร์”
“ข้า…...” ไป๋ชิงหลิงถูกคำพูดที่ยิงตรงของไทเฮาทำให้ตกใจ
หลังจากนั้นทุกคนก็มองไปที่เธออย่างพร้อมเพรียงกัน
หรงเยี่ยก็จ้องไปที่ไป๋ชิงหลิงเบาๆเช่นกัน
ต่างก็รอเธอพูดออกมา
แต่ว่า จะพูดประโยคนั้นออกมาได้อย่างไรล่ะ เธอใช้ชีวิตมาสองชาติภพ ไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกต่อหน้าผู้คนมาก่อน
ไป๋ชงเซิงเหลือบตามองเธอ เห็นว่าเธอนิ่งเงียบ ในใจร้อนใจแทนเธอ เลยช่วยไป๋ชิงหลิงพูด:“ชอบสิเพคะ ท่านแม่ข้าน่ะชอบท่านอ๋องหรง บางคืนท่านแม่ยังฝันถึงท่านอ๋องหรงเลยนะเพคะ”
ใบหน้าของไป๋ชิงหลิงแดงวาบขึ้นมาอีกครั้ง:“เซิงเอ๋อร์ พูดอะไรของเจ้าน่ะ”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้พูดผิดนะ” ไป๋ชงเซิงพูดด้วยท่าทางจริงจัง:“ช่วงไม่กี่วันนั้นที่ท่านอ๋องหรงไม่สนใจท่าน ทุกคืนที่ท่านหลับ ก็จะเรียกชื่อท่านอ๋องหรง ท่านอ๋องหรงชื่อหรงเยี่ยใช่หรือไม่เพคะ”
“ใช่!” ไทเฮาตอบด้วยความชอบใจ
ไป๋ชงเซิงยักไหล่:“เช่นนั้นข้าก็ฟังไม่ผิด ท่านแม่ชอบท่านอ๋องหรงนั่นแหละเพคะ”
“เจ้า…...เจ้าเด็กคนนี้นี่......” ไป๋ชิงหลิงถูกทำให้โมโห ต่อให้ได้ยิน แต่ก็ไม่ควรพูดโพล่งออกมาแบบนี้นี่......
เธอจะบ้าตายอยู่แล้ว
ตอนนี้สายตาทุกคนต่างก็เปล่งประกายแสงออกมา ทำให้เธอไม่มีคำพูดที่จะแก้ตัวได้เลย
ผู้ชายข้างๆจู่ๆก็หมุนตัวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกอดเธอแน่น หลังจากนั้นก็พูดข้างๆหูเธอต่อหน้าผู้คน:“ข้าชอบมานานกว่าเจ้าเสียอีก”
ไป๋ชิงหลิงร่างกายแข็งทื่อ กดหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง ที่แทบจะทะลักออกมาไว้
เธอยังคงปากแข็ง:“ท่านก็แค่อยากหาแม่ให้จิ่งหลิน”
“ตอนนั้นน่ะใช่”
“ตอนนี้ไม่ใช่งั้นหรือเพคะ”
“ตอนนี้ก็ถือโอกาสหาพระชายาให้ตัวข้าเองด้วย......”
ไป๋ชิงหลิงถูกคำพูดของเขาทำเอาไปไม่เป็น
หลวนอี๋กรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น:“ในที่สุดข้าก็มีพี่สะใภ้เจ็ดแล้ว”
ไทเฮาหยิบหนังสือรับรอง แล้วกวาดสายตามองจักรพรรดิเหยาด้วยสีหน้าไม่แยแส:“หนังสือรับรองนี้ไม่มีตราประทับมังกร ไม่นับ”
สายตาทุกคนต่างก็มองไปที่หนังสือรับรองในมือของไทเฮา เห็นว่ามุมด้านบนถูกตัดออกจริงๆด้วย น่าแปลกใจอย่างมาก
หลวนอี๋เดินเข้าไป แล้วหยิบหนังสือรับรองมากจากมือของไทเฮา เปิดออกแล้วพูด:“ทำไมตรงมุมนี้หายไปล่ะเพคะ”
ฟางกงกงกุมขมับ
“จริงสิ หนังสือรับรองที่ฝ่าบาทให้หม่อมฉัน ทำไมถึงไปอยู่ในมือของท่านอ๋องหรงล่ะเพคะ” เวลานี้ ไป๋ชิงหลิงถึงนึกขึ้นได้
หรงเยี่ยเลิกคิ้ว:“วันนั้นข้าได้ยินที่ตำหนักเฉียนชิง”
เสียงตบหน้า“เพี๊ยะๆๆ” ดังสะท้อนขึ้นที่ข้างหูของไป๋ชิงหลิงอีกครั้ง
เธอรู้สึกอับอายขายขี้หน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหน
ในเมื่อวันนั้นเขาอยู่ที่ตำหนักเฉียนชิง เช่นนั้นก็ต้องได้ยินแล้วเป็นแน่
เสียแรงที่วันนั้นยังพูดด้วยท่าทางจริงจัง ว่าชีวิตนี้จะไม่แต่งกับท่านอ๋องหรง จะไม่เป็นพระชายาหรงเด็ดขาด
สุดท้ายผ่านไปไม่นาน คำพูดก็ตบหน้าตัวเอง
แถมยัง“ตบหน้า”ต่อหน้าผู้คนอีกด้วย
หรงเยี่ยมองใบหน้าเธอที่แดงก่ำ แล้วพูดเบาๆ:“วางใจเถอะ ข้าจะทำเป็นลืมคำพูดที่เจ้าเคยพูดวันนั้นก็แล้วกัน”
“ข้าพูดแล้วจะทำไม!” ไป๋ชิงหลิงถลึงตาใส่เขา:“คนบางคนยังทำต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังอีกอย่างเลย ใครเป็นคนพูดว่าจะไม่มาข้องแวะกับข้าอีกล่ะเพคะ”
พอพูดจบ ไทเฮาหัวเราะ“ฮ่าๆๆ”ยกใหญ่
ทั้งตำหนักฮุ่ยหนิงตกอยู่ในบรรยากาศคึกครื้นรื่นเริง
เทียบกันแล้ว ฮูหยินเสิ่นที่รอคอยอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหลวนนั้น กลับร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...