หลวนอี๋เดินเข้ามา มองทั้งสองคนที่ท่าทางลับๆล่อๆ ถามด้วยความอยากรู้:“แม่นมหยางกับท่านพี่หญิงไป๋พูดอะไรกัน?”
แม่นมหยางเม้มริมฝีปาก ยิ้มแล้วมองไปทางไป๋ชิงหลิง
หลวนอี๋เลยมองไปทางไป๋ชิงหลิง แล้วถาม:“ท่านพี่หญิงไป๋ คุยอะไรกัน?”
“องค์หญิง หลังจากที่กลับตำหนักเฟิ่งหลวน ท่านก็จะรู้เองเพคะ”
“เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ” หลวนอี๋คิดว่ามีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจรอเธออยู่ ผลสุดท้ายหลังจากที่มาถึงตำหนักเฟิ่งหลวน กลับถูกสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ทำเอาเธอตกใจแทบแย่
แม่นมของตำหนักจิ่นซ่าง กำลังวัดขนาดตัวเสิ่นโหรวเม่ยอยู่
ตำหนักจิ่งซ่างเป็นตำหนักที่รับผิดชอบงานเสื้อผ้าสำหรับในวังโดยเฉพาะ เห็นได้ชัดที่เสิ่นโหรวเม่ยได้รับสวัสดิการเช่นนี้ได้ ก็เพราะคำแนะนำจากฮองเฮาอู่
พอเห็นว่าเสิ่นโหรวเม่ยถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่รอบตัว หลวนอี๋ที่อารมณ์ดีอยู่นั้นจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
“เสด็จแม่!” หลวนอี๋เดินเข้าไปในตำหนักด้วยความโมโห
แม่นมหยางรีบหันไปมองไป๋ชิงหลิง
ไป๋ชิงหลิงหันมามองเธอแล้วพยักหน้า แล้วจูงลูกทั้งสองไว้ เดินตามเข้าไปในตำหนักทำความเคารพฮองเฮา
ใบหน้าฮองเฮาอู่ยังคงรอยยิ้มไว้เหมือนเดิม ท่าทางใจดี:“เชิญนั่ง”
เสิ่นโหรวเม่ยอยู่ข้างๆมองมา ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อยในตอนแรก ต่อมาก็รีบเก็บสีหน้าที่ไม่พอใจทันที
“หมอหญิงไป๋ก็มาเช่นกันหรือ” ในมือเสิ่นโหรวเม่ยถือผ้าสีม่วง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเบาๆ ราวกับความไม่พอใจก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
หลังจากที่ไป๋ชิงหลิงนั่งลง สายตาก็มองไปที่ผ้าไหมในมือของเสิ่นโหรวเม่ย แล้วตอบ:“องค์หญิงหลวนอี๋เชิญหม่อมฉันมาพักที่ตำหนักน่ะเพคะ”
“บังเอิญเสียจริง เสด็จป้าฮองเฮาก็เชิญข้าเข้าวังมาพักสองสามวันเหมือนกัน พวกเราจะได้มีเพื่อน ข้ากำลังคิดว่าจะไปขอคำแนะนำจากหมอหญิงไป๋เรื่องโรคระบาดครั้งนี้พอดี” สีหน้าเสิ่นโหรวเม่ยถ่อมตัวขอคำชี้แนะ
ความจริงแล้ว คำพูดของเธอนั้นเหมือนว่าเปิดเผยตัวตนอีกครั้ง ว่าเธอคือคนที่ฮองเฮาเชิญมา เทียบกับองค์หญิงหลวนอี๋แล้ว อำนาจจากคำพูดของฮองเฮานั้นสูงกว่า
ฮองเฮาอู่ได้ยินคำพูดนี้ จู่ๆก็รู้สึกว่าผิดปกติ เหมือนมีความประชดประชันอยู่
เธอกับแม่นมหยางสบตากัน
แม่นมหยางให้สัญญาณลับกับฮองเฮาอู่ว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
หลวนอี๋ที่มองสิ่นโหรวเม่ยไม่เข้าตาแต่ไหนแต่ไหรมา เลยรีบแย่งเธอพูด:“ท่านพี่เสิ่น ท่านพี่จะพูดก็พูดดีๆหน่อยเพคะ อย่าเอาแต่พูดจาเหน็บแนม ไม่ว่าใครจะเชิญท่านพี่หญิงไป๋มา ถ้าตำหนักเฟิ่งหลวนนี้ไม่มีคำอนุญาตจากเสด็จแม่ข้า ท่านพี่หญิงไป๋ก็ไม่สามารถเข้ามาได้”
พอหลวนอี๋พูดจบ สีหน้าของเสิ่นโหรวเม่ยก็เปลี่ยนไป หันไปมองทางฮองเฮาอู่อย่างรวดเร็ว
ฮองเฮาอู่รีบยกชาเข้ามา ขวางไว้ตรงหน้า
หลวนอี๋มองเธอด้วยอารมณ์ที่จะกินคนเข้าไปได้ทั้งตัว พูดอย่างไม่สบอารมณ์:“ท่านพี่ดูสิว่าเสด็จแม่ทำอะไร?”
“ข้าก็แค่อยากให้เสด็จป้าดูผ้าไหมในมือข้า ข้าไม่ได้หมายความอย่างอื่น” เสิ่นโหรวเม่ยทำท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม
ฮองเฮาอู่วางชาลงแล้วมองฉากตรงหน้า ทนไม่ได้เลยพูด:“หลวนอี๋ อย่าก่อเรื่องสิ”
“เหนียงเหนียง องค์หญิงไม่ได้ตั้งใจหรอกเพคะ” ไป๋ชิงหลิงปกป้องหลวนอี๋
แต่การปกป้องเช่นนี้ กลับทำให้ฮองเฮาอู่รู้สึกดีเป็นอย่างมาก
เสิ่นโหรวเม่ยคิดว่าฮองเฮาจะตำหนิหลวนอี๋เหมือนเมื่อก่อน หลังจากนั้นก็ให้หลวนอี๋ขอโทษเธอ แต่เธอก็รอนานแล้วยังไม่มีวี่แววเลยแม้แต่นิด
ในทางกลับกัน ได้ยินฮองเฮาพูดว่า:“เจ้าโตกว่าหลวนอี๋ แถมนางก็ชอบอยู่กับเจ้า เจ้าก็ช่วยสอนกฎระเบียบนางแทนข้าหน่อยก็แล้วกัน ข้าเกรงว่านางออกไปแล้วจะเสียหน้าเอา”
“เสด็จแม่…...”
“เพคะ คำพูดของเหนียงเหนียง เจาเสวี่ยจะจำให้ขึ้นใจ ในเมื่อเหนียงเหนียงมีเรื่องจะคุยกับคุณหนูเสิ่น เช่นนั้นหม่อมฉันกับองค์หญิงหลวนอี๋ไม่รบกวนแล้วเพคะ” ไป๋ชิงหลิงลุกขึ้น แล้วดึงมือของหลวนอี๋
ฮองเฮาอู่สั่งแม่นมหยางให้อยู่ดูแลไป๋ชิงหลิง:“เจ้าไปจัดห้องให้เจาเสวี่ยพัก เอาที่ที่เงียบสงบ อย่าให้คนไปรบกวนนางบ่อยๆ ให้นางได้พักรักษาตัว”
“ขอบพระทัยในความเมตตาเพคะเหนียงเหนียง”
“ไม่เป็นไร เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยเอ๋อร์ที่สุสานจักรพรรดิหนึ่งเดือนเต็มๆ คงเหนื่อยมากสินะ”
ทันทีที่ฮองเฮาพูดจบ ใจของเสิ่นโหรวเม่ยก็เหมือนถูกฉีกขาดทั้งเป็น......
ที่ฮองเฮาพูดมันหมายความว่าอย่างไร?
พวกเขาไปญาติดีกันตั้งแต่ตอนไหน
ทั้งๆที่เสด็จป้าของเธอนั้นเกลียดไป๋เจาเสวี่ยอย่างมาก
เสิ่นโหรวเม่ยมองทั้งสองคนที่พูดบทสทนาอบอุ่นไปมา ไม่มีแนวโน้มว่าจะทะเลาะกันเลยสักนิด ความแค้นในใจนั้นเริ่มต่อสู้เคลื่อนไหวราวกับงูพิษตัวหนึ่งยังไงอย่างงั้น
ผ้าไหมในมือจู่ๆก็ถูกเธอบีบไว้แน่น แม้แต่ตอนที่ไป๋ชิงหลิงกับหลวนอี๋เดินออกจากตำหนักไปแล้ว ก็ยังไม่ได้สติกลับมา
ฮองเฮาอู่เดินไป จับผ้าไหมที่อยู่ในมือของเสิ่นโหรวเม่ย แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน:“เม่ยเอ๋อร์ ผ้าไหมนี้สวยมาก เหมาะกับสีผิวเจ้าอย่างมาก”
พอเสิ่นโหรวเม่ยได้ยินเสียงฮองเฮาอู่ ถึงจะได้สติกลับมา
ริมฝีปากเธอสั่นเล็กน้อย:“ใช่เพคะ สวยมาก เสด็จป้าเพคะ หมอหญิงไป๋ได้รับความชื่นชอบจากพี่เยี่ยมากเลยใช่ไหมเพคะ”
แม้แต่ท่านก็ยอมด้วยแล้ว......
ฮองเฮาอู่เห็นว่าเธอเปิดหัวข้อมาแล้ว เลยไม่ปิดบังอีกต่อไป พยักหน้าแล้วตอบ:“ใช่แล้วล่ะ นางเก็บเหมันต์พิสุทธิ์มาอย่างยากลำบาก เพื่อช่วยชีวิตพี่เยี่ยของเจ้า”
เสิ่นโหรวเม่ยยิ้มเจื่อน:“เช่นนั้นคงต้องอวยพรให้พี่เยี่ยแล้วจริงๆ ในที่สุดพี่เขาก็ได้เจอคนที่เขารัก”
“เจ้าไม่เสียใจหรือ?” ฮองเฮาอู่มองเธอ ในใจเจ็บแปล๊บ รู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม
เสิ่นโหรวเม่ยยิ้มเบาๆ ยิ้มส่ายหน้าไปด้วยน้ำตาไหลพรากไปด้วย:“หม่อมฉันไม่น้อยใจหรอกเพคะ เห็นพี่เยี่ยมีความสุข เม่ยเอ๋อร์ก็ดีใจ เม่ยเอ๋อร์จะใช้ทั้งชีวิตเฝ้าคอยพี่เยี่ย ชีวิตนี้จะไม่แต่งงานเพคะ”
ฮองเฮาอู่จับมือเธอแน่นด้วยความตกใจ:“เจ้าพูดอะไรของเจ้า เรื่องงานแต่งของเจ้า ป้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง ต่อให้ไม่ใช่เยี่ยเอ๋อร์ แต่ก็ต้องเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยตระกูลสูงส่งแน่นอน”
เสิ่นโหรวเม่ยแอบสบถเหอะ......
ฐานะร่ำรวยตระกูลสูงส่ง......
เธออยู่กับเขามานานเท่าไหร่ เสียเวลาจนอายุสิบแปดก็ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน เพื่อแลกกับประโยคของฮองเฮาที่ว่าฐานะร่ำรวยตระกูลสูงส่ง
ตระกูลเสิ่นเธอฐานะร่ำรวยไม่พอหรือไง
ตอนเธอสิบเอ็ดขวบก็เข้าวังเรียนวิชาแพทย์ตามเสิ่นฉง ได้รับชื่อเสียง เกียรติยศและทุนทรัพย์ ความสามารถเกินกว่าเด็กอายุรุนราวคราวเดียวกัน
เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีเลิศขนาดนั้น เพื่อแต่งกับผู้ชายที่ทำให้เธอฐานะร่ำรวยตระกูลสูงส่งหรือไง......
ในใจเสิ่นโหรวเม่ยคำราม กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ต่อหน้าฮองเฮาอู่กลับต้องปิดบังความคิดของตัวเองไว้ให้ดี
เธอพูด:“เสด็จป้า เสด็จป้าล้อเล่นเก่งจริงๆเลยนะเพคะ เสด็จป้าให้นางกำนัลปิดประตูหน่อยเพคะ เม่ยเอ๋อร์จะให้เสด็จป้าดูอะไรหน่อย”
ฮองเฮาเหลือบตามองเธอ แล้วปัดป่ายมือบอกให้คนปิดประตูตำหนัก
เวลานี้ ก็เห็นว่าเสิ่นโหรวเม่ยถอดเสื้อของตนเองออก เผยให้เห็นแผ่นหลัง
รอยแส้ที่หรงเยี่ยเคยฟาดใส่หลังเธอ กลายเป็นรอยแผลเป็นที่น่าเกลียด ฮองเฮาเห็นฉากตรงหน้า ก็เซถอยหลังไปเล็กน้อย
เสิ่นโหรวเม่ยหมุนตัวกลับมา ยิ้มทั้งน้ำตา:“ขอบพระทัยในความเมตตาของเสด็จป้านะเพคะ ถ้าเสด็จป้าไม่รังเกียจ ให้เม่ยเอ๋อร์ได้อยู่ข้างกายเสด็จป้าตลอดชีวิตได้ไหมเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถแต่งงานกับพี่เยี่ยได้ แต่ว่า ถ้าหากหม่อมฉันได้มองเขาจากไกลๆ หม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ”
“เจ้ารีบสวมชุดเร็วเข้า เดี๋ยวเป็นหวัดเอา” ในใจของฮองเฮาอู่เหมือนกำลังถูกเลื่อย ด้านหนึ่งคือไป๋ชิงหลิงที่หรงเยี่ยชอบ อีกด้านหนึ่งคือเสิ่นโหรวเม่ยที่คอยทุ่มเทให้หรงเยี่ยอย่างลับๆ เหมือนว่าเธอนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ทุ่มเทให้ผิดคน
เธอควรจะทำอย่างไร?
ฮองเฮาเดินเข้าไป สวมเสื้อผ้าให้เธอ
เสิ่นโหรวเม่ยโผเข้ามาร้องไห้ในอ้อมกอด:“เสด็จป้า หม่อมฉันก็แค่เสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองเพคะ เสด็จป้าให้หม่อมฉันร้องไห้สักพักนะเพคะ”
“เม่ยเอ๋อร์!”
ฮองเฮาอู่เห็นเธอร้องไห้ อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ไปกับเธอด้วยความเสียใจ
แต่ร้องไห้ก็ส่วนร้องไห้ ฮองเฮาอู่ไม่ได้รับปากเธอว่าจะช่วยชักใยเธอกับเยี่ยหรงอีก
เสิ่นโหรวเม่ยท้อแท้เป็นอย่างมาก จนสุดท้ายก็ไม่ได้ร้องไห้ต่อแล้ว
พอเลือกผ้าไหมได้แล้ว แม่นมหยางก็กลับมาพอดี ฮองเฮาให้คนพาเสิ่นโหรวเม่ยออกไปก่อน แล้วตรงไปหาไป๋ชิงหลิง ถามเรื่องแผลเป็นด้านหลังของเสิ่นโหรวเม่ยว่ามีวิธีไหนที่พอจะช่วยเอาออกได้บ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...