ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 206

คิ้วกระบี่ของเขาขมวดแน่น จากนั้นเขาก็มองลงไปที่เด็กสองคนที่อยู่ข้างกายเขา ก่อนยื่นมือออกไปผลักเด็กทั้งสองออก ให้พวกเขาไปเล่นที่อื่น

ยามฮองเฮาอู่เผชิญหน้ากับหรงเยี่ย นางประหม่ามาก

และยิ่งประหม่ายิ่งกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเหยา

นางกระชับผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นขึ้น จ้องมองหลวนอี๋อย่างดุเดือด

แม่นมหยางที่อยู่ข้างกายนางรีบคำนับ จากนั้นจึงอธิบายแทนฮองเฮาอู่ว่า “องค์หญิง คราวนี้...เหนียงเหนียงผิดแล้ว”

หลวนอี๋มุ่ยปากอย่างไม่พอใจ

ยามนางอยู่คนเดียว นางกลัวว่าจะถูกฮองเฮาอู่ดุด่า แต่ยามนี้มีหรงเยี่ยอยู่เคียงข้างนาง นางรู้ว่าฮองเฮาอู่จะไม่ทำต่อหน้าท่านพี่เจ็ดของนาง

นางเล่นผมเปียแล้วพูดว่า “ย้ายเข้าตำหนักเฟิ่งหลวนไปแล้ว ทั้งยังสั่งให้คนเตรียมเสื้อผ้าให้นาง เสด็จแม่ ทั้งเสด็จพ่อและเสด็จย่า เตือนท่านหลายครั้งแล้ว แต่ท่านก็ไม่ฟัง”

“ข้า...” ฮองเฮาอู่ตกตะลึงกับคำพูดของนาง

จากนั้นจึงหันมองหรงเยี่ยอย่างเสียใจ “ข้าไม่...มันไม่ใช่เช่นนั้น...”

“เหนียงเหนียง ท่านอ๋องหรงทรงเข้าใจความอุตสาหพยายามของท่านแน่” แม่นมหยางอธิบายเรื่องราวทั้งหมดต่อไปว่า “ท่านทั้งสอง องค์หญิง เรื่องเป็นเช่นนี้ ฮูหยินเสิ่นเข้าวังเพื่อมาร้องเรียนต่อเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงเป็นคนมีเมตตา ไม่อาจทนมองฮูหยินเสิ่นเศร้าใจได้ ดังนั้นจึงยอมตกลงตามคำขอของฮูหยินเสิ่นที่ขออาศัยอยู่ในวังระยะหนึ่ง หลังจากนั้นเหนียงเหนียงก็รู้ว่าท่านทำอะไรผิด แต่เหนียงเหนียงได้สัญญากับฮูหยินเสิ่นไปเสียแล้ว!”

คำพูดของแม่นมหยางยังมีน้ำหนักอยู่บ้าง นางถึงกับโน้มน้าวหรงเยี่ยไปได้มาก

ไม่ต้องพูดถึงหรงเชินกับหลวนอี๋ที่เป็นเด็กที่นางเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ทั้งยังค่อนข้างสนิทกับนาง

หรงเชินที่ยืนอยู่ข้างหลังหรงเยี่ยอย่างเงียบๆ เห็นความกังวลใจของพวกเขาจึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะถามว่า “เหตุใดทุกคนถึงกังวลกับการที่ท่านพี่เสิ่นอยู่ที่นี่ ท่านพี่เสิ่นทำสิ่งที่ชั่วร้าย? ใดมาหรือ?”

ในความทรงจำของเขา เสิ่นโหรวเม่ยเป็นคนอ่อนโยน งดงาม มีการศึกษาที่ดี มีเหตุผลและเข้าใจมารยาท ทั้งยังเป็นสตรีผู้สง่างาม

นางเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบ

น่าเสียดาย...นางเป็นของพี่เจ็ด

หรงเชินยังคงคิดว่าเสิ่นโหรวเม่ยจะได้เป็นพระชายาหรง ในขณะที่ไป๋ชิงหลิงผู้ให้กำเนิดลูกของคนอื่นเป็นพระชายารอง

เพราะมีเพียงเสิ่นโหรวเม่ยเท่านั้นที่คู่ควรกับพี่เจ็ดผู้สมบูรณ์แบบ

เมื่อฮองเฮาอู่ได้ยินสิ่งที่ลูกของนางกล่าวออกมา นางก็รู้สึกผิดจนพูดไม่ออก

นางเงยหน้าขึ้นมองหรงเยี่ย แล้วพูดเป็นนัยๆ ว่า “เยี่ยเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่แม่ทำเช่นนี้ เจ้าอย่าทำร้ายคนอีกเลย นางยังมีรอยแผลเป็นจากการเฆี่ยนตีของเจ้าอยู่ แม่จงใจเรียกหาหมอไป๋ให้ไปยังห้องบรรทมของหลวนอี๋ ขอให้นางเตรียมยาลบรอยแผลเป็น หากแผลเป็นที่หลังของนางสามารถลบออกได้ นางจะสามารถแต่งงานได้ในอนาคต”

“เสด็จแม่!” หรงเยี่ยขบกรามแน่นขึ้นเล็กน้อย จ้องมองฮองเฮาอู่อย่างแหลมคม

ฮองเฮาอู่รู้สึกหนาวเหน็บที่สันหลัง นางยืนตัวแข็งทื่อ รอคำพูดต่อไปของหรงเยี่ย

“ในภายภาคหน้าเจาเสวี่ยจะเป็นมารดาของจิ่งหลิน และนางจะเรียกท่านว่าเสด็จแม่ด้วยเช่นกัน หากมีปัญหาใด ท่านสามารถไปหานางได้”

เอ่อ...

ฮองเฮาอู่ตกตะลึง

หลวนอี๋วิ่งเข้ามาเขย่าแขนฮองเฮาอู่ “เสด็จแม่ ท่านได้ยินหรือไม่ หากท่านมีปัญหาใด ท่านสามารถไปหาพี่สะใภ้เจ็ดได้ พี่สะใภ้เจ็ดนั้นทรงพลังมาก แม้แต่อ๋องฮุ่ยก็...”

ประกายแสงเย็นจากดวงตาสองคู่ตกลงบนร่างหลวนอี๋อย่างโหดเหี้ยม

คู่หนึ่งมาจากหรงเยี่ย อีกคู่มาจากฮองเฮาอู่

หลวนอี๋ตระหนักว่านางพูดผิดไป จึงรีบตบปากตัวเองสองสามครั้ง แล้วพูดว่า “ข้าหมายความว่าพี่หญิงไป๋ทั้งฉลาดและตรงไปตรงมา หลังจากท่านคุ้นเคยกับนางแล้ว ท่านต้องชอบนางแน่”

เรื่องนี้ไม่ผิด

ฮองเฮาอู่นึกถึงภาพยามพูดคุยกับไป๋ชิงหลิงแล้วรู้สึกว่าการพูดคุยกับนางเป็นเรื่องง่าย

สีหน้านางอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนนางจะพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เยี่ยเอ๋อร์ ในอีกสองสามวันข้างหน้าเจ้ากับนางก็มาอยู่ที่นี่กับหลวนอี๋ ข้าจะให้แม่นมหยางสอนกิริยามารยาทให้แก่นาง เจ้าก็คอยอยู่เคียงข้างดูแลนางเถอะ”

ริมฝีปากบางของหรงเยี่ยขยับเล็กน้อย เขาเปล่งเสียง “อืม” เบาๆ ...

เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองผ่อนคลายลง แม่นมหยางก็แอบรู้สึกดีใจกับฮองเฮาอู่

หลังจากนั้นแม่นมหยางก็หันไป๋ชงเซิงอีกครั้งแล้วพูดอย่างใจดีว่า “จะว่าไปแล้วลูกของแม่นางไป๋ก็ค่อนข้างคล้ายกับองค์ชาย”

แม้แม่นมหยางตั้งใจจะทำให้ตัวตนของทั้งสองคนง่ายขึ้น แต่ประโยคนี้ก็พูดออกมาจากใจเช่นกัน

รูปร่างตาของไป๋ชงเซิงคล้ายกับของไป๋ชิงหลิงแต่หางตากลับยกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นรูปทรงเดียวกับของหรงเยี่ย

เมื่อกล่าวเช่นนี้ไป๋ชงเซิงก็เป็นเหมือนกับรวมหรงเยี่ยและไป๋ชิงหลิงไว้ด้วยกัน

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลวนอี๋ก็พูดอย่างตื่นเต้น “แม่นมก็คิดว่าเซิงเอ๋อร์ดูเหมือนพี่เจ็ดใช่ไหม แล้วท่านคิดว่าจิ่งหลินเหมือนพี่สะใภ้เจ็ดหรือไม่?”

แม่นมหยางมองอย่างจริงจังและรอบคอบ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “หากเทียบให้ดี ดวงตาซื่อจื่อจิ่งนั้นคล้ายกับหมอไป๋จริงๆ”

ในยามนี้หรงจิ่งหลินกับไป๋ชงเซิงกำลังวิ่งไล่กันอยู่

ฮองเฮาอู่เห็นเด็กคนนั้นวิ่งไปข้างกายหรงเยี่ย จากนั้นความคิดก็พลุ่งพล่านในใจนาง ซึ่งนางไม่เคยกล้าคิดมาก่อน

นางเดินช้าๆ ไปทางไป๋ชงเซิงจากนั้นจึงย่อกายลง วางมือบนไหล่เด็กน้อยอย่างระมัดระวัง

ระหว่างพวกเขาเคยมีข้อพิพาทกับ เมื่อไป๋ชงเซิงเห็นนางเข้ามา ในใจจึงต่อต้านเล็กน้อย

ถอยห่างโดยไม่รู้ตัว

หรงจิ่งหลินที่อยู่ข้างๆ จับมือไป๋ชงเซิงแล้วพูดว่า “น้องสาว อย่ากลัวไปเลย เสด็จย่านั้นดีมาก”

“แต่นางเคยปฏิบัติต่อท่านแม่ไม่ดี” ไป๋ชงเซิงกล่าว

ความลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าฮองเฮาอู่ทันที มุมปากนางสั่นเล็กน้อย

หรงจิ่งหลินอธิบายว่า “นั่นเป็นเรื่องในอดีต ตามที่คนโบราณกล่าวไว้ว่าไม่ทะเลาะย่อมไม่ผูกมิตร [1] ยามนี้เสด็จย่าชอบท่านแม่แล้ว อีกทั้งในภายภาคหน้านางจะเป็นเสด็จย่าของเจ้าเช่นกัน”

“แต่ข้ามีเพียงท่านปู่” ปู่ย่าตายายในความคิดของนางควรเป็นเหมือนติ้งเป่ยโหว

...............

เชิงอรรถ

[1] ไม่ทะเลาะย่อมไม่ผูกมิตร มีความหมายว่า หลังจากทะเลาะกันแล้วถือว่ารู้จักกันมากขึ้น ย่อมเกิดการประนีประนอมและผูกมิตรเป็นเพื่อนกันได้ในท้ายที่สุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น