ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความเยือกเย็น พยุงนางขึ้นมาจากเก้าอี้ จากนั้นก็หมุนรอบตัวนาง
ไป๋ชิงหลิงรีบผลักเขาออกไปพร้อมกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ใช่จวนอ๋องหรงของเจ้า ที่นี่คือตำหนักเฟิ่งซี ตำหนักขององค์หญิง”
“ข้ารู้แล้ว”
“รู้แล้วแต่ยังไม่ยอมปล่อย หากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า มันจะดูไม่ดี” แม้ว่าเรื่องของทั้งสองคนจะได้รับการอนุญาตจากไทเฮาและฮองเฮาอู่เป็นอันเรียบร้อยแล้ว แต่จักรพรรดิเหยายังไม่ได้ออกกฤษฎีกาอนุญาตให้อภิเษกสมรส เรื่องราวระหว่างพวกเขาจึงควรอยู่กับร่องกับรอย
หรงเยี่ยไม่ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับนาง
เขากุมมือทั้งสองข้างของนางไว้ จูงมือนางเข้าไปให้ตำหนัก จากนั้นก็ปิดประตู
หนังศีรษะของไป๋ชิงหลิงลุกซู่ นางลืมไปได้อย่างไรว่าก่อนหน้านี้ชายผู้นี้หยาบคายกับนางมาโดยตลอด
ในตอนที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิ เขาเองก็ไม่ได้ทำตัวดีแต่อย่างใด
เวลานี้เขาต้องการทำสิ่งใดอีก
ไป๋ชิงหลิงรีบวิ่งไปดึงประตูตำหนัก พร้อมสาปแช่งออกมาว่า “กลางวันแสก ๆ เจ้าจะปิดประตูเพื่อสิ่งใด คนที่ไม่รู้พวกเขาอาจคิดว่าพวกเราสองคนกำลังทำอะไรอยู่ในนี้”
ทันทีที่มือของนางสัมผัสกลอนประตู นางก็ถูกหรงเยี่ยดึงกลับไป
มือข้างหนึ่งของเขาโอบกอดไปรอบหน้าท้องส่วนล่างของนาง ริมฝีปากกันมาที่ใบหูของนาง กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ให้ข้าดูบาดแผล รอยแส้ด้านหลังของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่จำเป็น!”
“เช่นนั้นข้ายิ่งอยากเห็น”
“นี่เจ้า......” ไป๋ชิงหลิงหันกลับมา จ้องมองไปที่เขาอย่างโกรธเคือง “แผลบนหลังของข้าหายดีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่เป็นเจ้า......ร่างกายของเจ้าเต็มไปด้วยบาดแผล ลองไตร่ตรองดูว่าต้องการลบรอยบาดแผลเหล่านั้นหรือไม่”
“ข้าขอดูเจ้าก่อน” เขาพูดออกมาพร้อมกับยื่นมือไปดึงเสื้อผ้าของไป๋ชิงหลิง
ไป๋ชิงหลิงยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขาไว้ แต่ก็ถูกเขาหยุดเอาไว้และจับกดกับประตู
นางกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “ข้าทำเอง”
“ดี” เห็นนางเชื่อฟังถึงเพียงนี้ หรงเยี่ยจึงปล่อยนางและถอยกลับไปด้านหลังหนึ่งก้าว
นางปลดกระดุมเสื้อผ้าออกต่อหน้าเขา มันเป็นเรื่องที่น่าอายมาก นางจึงหันหลังให้เขาก่อน จากนั้นค่อยถอดเสื้อผ้าออก เผยให้เห็นแผ่นหลังสีขาวอันเรียบเนียน
สายตาของเขาจับจ้องไปยังต้นคอของนาง จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงมายังเอวของนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋ชิงหลิงเห็นว่าเขาไม่ยอมส่งเสียง นางจึงหันกลับมาและถามว่า “พอใจแล้วหรือยัง?”
นางรออยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ชิงหลิงก็ยังคงไม่ส่งเสียงออกมา นางจึงเตรียมที่จะสวมเสื้อผ้ากลับไปให้เหมือนเดิม
แต่ในตอนที่นางกำลังดึงเสื้อผ้าขึ้นไป ไป๋ชิงหลิงก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว โอบกอดร่างกายของนางและผลักนางลงไปบนเก้าอี้นุ่ม
ไป๋ชิงหลิงกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “ทำอะไรของเจ้า!”
“ข้าต้องการมองให้ชัดเจนและละเอียดกว่านี้”
“นี่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ข้าดูไม่ออกเลย เจ้ารู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ” นางคิดว่าเขารู้สึกละอายใจที่นางถูกแส้ฟาด จึงรู้สึกหวั่นไหวอยู่ในใจ
แต่ในตอนที่อารมณ์ของนางกำลังพาไป ทุกอย่างก็สลายไปพร้อมกับพฤติกรรมอื่นของเขา
เขาดึงผ้าคาดเอวของนางลงมา เผยให้เห็นแผ่นหลังทั้งหมดของนาง
ไป๋ชิงหลิงหายใจเข้าด้วยความตกใจ หันไปมองเขา ก็เห็นว่าเขากำลังจ้องมามองที่เอวด้านหลังของนาง
นางถึงได้รู้ว่าเขาต้องการอะไร
หรงเยี่ยกำลังดูปานของนางอย่างนั้นหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...