ท่านอ๋องเฉินเอื้อมมือไป จับเสื้อของฮองเฮาอู่
ฮองเฮาอู่ชะงักไปสักพัก หันมามองเขาและพูดอย่างจริงจังว่า “เฉินเอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะได้สติ คนที่ดีกับเจ้าพูดอะไรเจ้าก็ไม่เชื่อแม้แต่น้อย เสิ่นโหรวเม่ยพูดอะไรก็ดีไปหมด เจ้าไม่คิดดูว่าขาของเจ้าใครเป็นคนรักษา”
เมื่อได้ยินฮองเฮาอู่บ่นเสิ่นโหรวเม่ย จู่ๆท่านอ๋องเฉินก็ปล่อยมือจากเสื้อของฮองเฮาอู่ เม้มปากด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ขมวดคิ้วและพูดว่า “เสด็จแม่ ไม่ใช่ความผิดของเม่ยเอ๋อร์”
“ใช่ ไม่ใช่ความผิดของนาง นางประเสริฐที่สุด ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้เจ็ดของเจ้าสั่งยาให้เจ้าก็ไม่ยอมกิน เอาไปเลี้ยงปลา ข้าไม่เชื่อว่าเสิ่นโหรวเม่ยไม่ได้ทำการยุยงเจ้าอย่างลับๆ” ฮองเฮาอู่รู้สึกโกรธจึงต่อว่าโดยตรง และไม่พูดอ้อมค้อมเหมือนก่อน
ท่านอ๋องเฉินไม่คิดว่าฮองเฮาอู่จะมีอคติต่อเสิ่นโหรวเม่ยมากเช่นนี้ หันไปมองฮองเฮาอู่ด้วยความประหลาดใจ
“เสด็จแม่ ไม่ใช่ นางไม่เคยยุยงข้า ปิ่นหยกเป็นของขวัญที่ข้านั้นอยากมอบให้กับนาง”
“พอละ ไม่ต้องเอ่ยถึงปิ่นหยก” ตราบใดที่เธอพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
เสิ่นโหรวเม่ยสามารถพูดเปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำได้ แม้ว่าเธอตั้งใจยุยง ลูกชายที่ซื่อบื้อของเธอจะสังเกตเห็นได้อย่างไร
ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจจริงๆที่ตกลงและเห็นด้วยกับเรื่องแต่งงาน เธอควรจะส่งเสิ่นโหรวเม่ยออกไปให้ไกลๆ และไม่ให้กลับมาที่เมืองหลวงอีกตลอดกาล
ท่านอ๋องเฉินไม่รู้ความคิดในใจของเสด็จแม่ เขาเงยหน้ามองที่ขาของเขา “เสด็จแม่ ในเมื่อขาของข้าได้รับการผ่าตัดแล้ว ข้าก็สามารถกลับตำหนักอ๋องได้แล้วใช่ไหม”
“เจ้าพูดอะไร?” จู่ๆน้ำเสียงของฮองเฮาอู่ก็แหลมสูงขึ้น
ท่านอ๋องเฉินหดคอ ตั้งใจฟังและพูดว่า “เม่ยเอ๋อร์อยู่คนเดียวในตำหนัอ๋องก ลูกกลัวว่านางจะกังวล”
“เจ้า.........” ฮองเฮาอู่ชี้ไปยังท่านอ๋องเฉิน โมโหจนพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน
หมอหลวงจ้าวเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านอ๋องเฉิน แม้ว่าพระชายาท่านอ๋องหรงได้ทำการผ่าตัดให้กับท่าน ตัดเอาเนื้อเน่าออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทพ้นช่วงอันตรายแล้ว!”
“อย่าพูดเหลวไหล ข้าแค่บาดเจ็บที่ขา จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อย่างไร!” ท่านอ๋องเฉินรู้สึกว่าเสด็จแม่ของเขากำลังหลอกเขา
และคนที่หลอกเสด็จแม่ของเขา ก็คือพี่สะใภ้เจ็ดของเขา
ฮองเฮาอู่ตะโกนด้วยความโกรธ “มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าโกหกเจ้าเหรอ เฉินเอ๋อร์ เจ้ามีสมองบ้างไหม”
“เสด็จแม่.......”
“ห้ามกลับตำหนักอ๋อง รออาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีค่อยว่ากัน มิฉะนั้นข้าจะส่งเสิ่นโหรวเม่ยออกไปจากเมืองหลวง เจ้าจะไม่ได้พบนางอีก” ฮองเฮาอู่โกรธจนร้อนใจ จึงพูดจารุนแรงกับเขา
แต่ท่านอ๋องเฉินกลับจริงจังกับคำพูดของเธอ
เขานั่งลงอย่างอารมณ์เสีย และพูดว่า “เสด็จแม่ หากท่านกล้าส่งเม่ยเอ๋อร์ออกไป งั้นลูกก็จะไม่กลับมาเมืองหลวงอีก ท่านจะไม่ได้พบข้าอีกเช่นกัน!”
“เจ้า......เจ้า.........” ฮองเฮาอู่กุมหน้าอกและทุบหน้าอกตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...