หลังจากพูดจบ หยางสวี่อี้ก็หันหลังกลับและเดินออกจากบ้านไม้พร้อมปิดประตูบ้านไม้อย่างเบามือ......
ในตอนที่หยางสวี่อี้ปิดประตูบ้าน ไป๋ชิงหลิงก็เริ่มได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ เมื่อนางได้ตอบสนอง นางก็หมดสติไปแล้ว
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ไม่ได้อยู่ในบ้านไม้หลังนั้นแล้ว
ด้านหน้าของนางคือต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน แสงจันทร์สาดส่องลงมา ราวกับสายน้ำไหลในเวลากลางคืน
มีเสียงน้ำไหลในลำธารดังมาจากด้านข้าง นางรีบลุกขึ้นในทันใด ผมสีดำที่อยู่บนศีรษะของนางก็กระจายไปทั่วใบหน้า
นางเห็นว่าไม่ไกลจากนางมีลำธารอยู่สายหนึ่ง
ชายในชุดสีม่วงเข้มนั่งอยู่บนก้อนหิน เขาหันหลังให้นาง และกำลังทำความสะอาดบาดแผลที่หัวไหล่ของเขา
เมื่อนางลุกขึ้นยืน ชายผู้นั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวของเขา ยกเสื้อขึ้นมาปกปิดบาดแผลอย่างรวดเร็ว หันกลับและมองมาที่นาง......
ไป๋ชิงหลิงคิดว่าตัวเองตาฝาด นางจึงนำมือขึ้นมาขยี้ตา
และชายที่นั่งอยู่บนโขดหินในตอนแรกก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหานาง
เขาคุกเข่าลง นำถุงน้ำในมือมอบให้นางพร้อมกล่าวว่า “พระชายา ฟื้นแล้วงั้นหรือ!”
คนที่เรียกนางก็คือ หรงเยี่ย
นางกำหมดและชกไปที่หน้าอกของเขาพร้อมกับด้วยความโกรธ “เสด็จแม่อยู่ที่ไหน?”
ใบหน้าของหรงเยี่ยซีดขาวเล็กน้อย ร่างกายของเขาสั่นไหว ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว
ไป๋ชิงหลิงรีบพุ่งเข้าไป คว้าเสื้อของเขาไว้และกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เสียดแทงหัวใจ “ในสุสานจักรพรรดิ ต่อให้เสร็จพ่อจะยิงธนูใส่ข้า หรือว่าหยางสวี่อี้ต้องการชีวิตของข้า ข้าล้วนไม่โกรธ หรือไม่เกลียดเจ้า แต่เจ้า......เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ข้ากลายเป็นคนบาป ข้ายอมตายเสียดีกว่า......ดีกว่าที่จะให้นำศพของแม่เจ้าแลกกับชีวิตของข้า พวกเราไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว......”
นางทรุดตัวลงพร้อมกับทุบไหล่ของเขาขณะพูดออกมา
นางเกลียดเขาเป็นอย่างมาก แต่เกลียดตัวเองมากกว่า
คนที่นางไม่อาจเผชิญหน้าไม่ใช่จักรพรรดิเหยาหรือว่าหรงเยี่ย แต่เป็นตัวของนางเอง!
นางเกินจะเยียวยาถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ยังปกป้องนางด้วยชีวิต......
นางจะต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถเติมเต็มความเจ็บปวดและบาดแผลที่เกิดขึ้นในชีวิตครั้งนี้ได้
เขากุมมือทั้งสองข้างของนางไว้ กอดนางไว้ในอ้อมแขน “ข้าไม่เคยคิดว่าจะกลับไป!”
“เจ้า......” ร่างกายของนางสั่นเทา ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความไม่เข้าใจ
ในตอนนี้ หรงเยี่ยพูดออกมาว่า “ข้าวางแผนให้ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำพาตัวลูกทั้งสองคนของพวกเราออกมา พวกเราจะอาศัยอยู่ในเยี่ยนหนาน”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ไป๋ชิงหลิงผลักเขาออกไปอีกครั้ง
การผลักครั้งนี้ ทำให้นางสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา
นางรีบดึงมือกลับมาทันที มองลงไปบนฝ่ามือของนาง เลือดไหลลงมาทั่วนิ้วทั้งห้าของนาง
“เจ้าบาดเจ็บ” ไป๋ชิงหลิงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “บาดเจ็บตรงไหน ให้ข้าดูหน่อย!”
“ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต ข้าสามารถ......”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...