ในตอนที่จับมือของนาง เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ข้าไม่อยากนั่งรถเข็น”
ไป๋ชิงหลิงหยุดการเคลื่อนไหวในทันที หันกลับมามองเขา
ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเขา นางพยักหน้าและตอบกลับมาว่า “ได้ งั้นข้าจะเป็นคนแบกเจ้าเอง”
“......” คำพูดของไป๋ชิงหลิงทำให้หรงเยี่ยพูดไม่ออก เขาปล่อยมือของนาง “เช่นนั้นเจ้าไปวาดพิมพ์เขียวของรถเข็นมา ข้าจะนำมันไปมอบให้กับทหารองครักษ์เหยี่ยวดำ”
“อื้อ”
ไป๋ชิงหลิงเดินไปหยิบกล่องยา มอบยาแก้อักเสบให้กับหรงเยี่ย จากนั้นก็ทายาลดอาการบวมให้กับเขา และเรียกเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมให้นำน้ำร้อนมาให้นางถังหนึ่ง
เขามองผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา นางกำลังทายาให้เขา ริมฝีปากของเขายกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มือของเขาวางไปบนศีรษะของไป๋ชิงหลิง
ไป๋ชิงหลิงเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา “สบายไหม?”
“อ่า ไม่ปวดแล้ว”
“ครั้งหน้าห้ามปกปิดข้าเรื่องอาการบาดเจ็บอีกเป็นอันขาด ข้าเป็นหมอปีศาจ ไม่ว่าจะยากแค่ไหนข้าก็สามารถรักษาให้เจ้าได้ทั้งนั้น” แน่นอนว่าคำพูดของไป๋ชิงหลิงเป็นการบอกให้หรงเยี่ยดูแลและรักษาร่างกายของตนเอง
หรงเยี่ยนั่งหลังพิงเก้าอี้ “นานแล้วที่เจ้าไม่ได้ยิ้มเช่นนี้!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ชิงหลิงแข็งทื่อในทันใด
นางนำถุงยาในมือทั้งหมดโยนลงในน้ำ จากนั้นก็พูดกับเขาอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ขอโทษ”
เขาจับมือของนางมาวางไว้บนตักของเขา “ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดนี้จากปากของเจ้าอีก”
นางโน้มตัวไปข้างหน้า จับมือเขา วางใบหน้าของนางลงบนหลังมือของเขา “ข้ารู้แล้ว!”
“รู้อะไร?”
“หมอเทวดาซูเคยบอกข้า วิญญาณของข้าเคยกำเริบ ทำให้จ้าถูกหนอนเลือดพิษของข้า ”
หรงเยี่ยกำมือของนางไว้แน่น “ทุกวันนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“หนอนเลือดพิษออกมาแล้วงั้นหรือ บอกความจริงข้ามา!” นางเงยหน้าขึ้น จับจ้องเขาด้วยแววตาอันเร่าร้อน
เขาไม่ได้หลบสายตาของนาง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “หลังจากใช้ยาของหมอเทวดาซู ไม่ถึงสามวันหนอนพิษตัวนั้นก็ออกมาแล้ว”
“จริงหรือ?”
“จริง!” หรงเยี่ยเชยคางของนางขึ้น “เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ข้าจะกล้าปิดบังเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าบอกแล้วเจ้าก็ไม่เชื่อ หากวิญญาณของข้าเคยกำเริบ เจ้าห้ามเข้าใกล้ข้าเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าก็มัดข้าไว้” ไป๋ชิงหลิงกล่าวออกมา
หรงเยี่ยชำเลืองมองกำไลหยกโลหิตของนาง “ตั้งแต่พระชายาสวมหยดโลหิต โรควิญญาณก็ไม่เคยกำเริบอีกเลย”
ไป๋ชิงหลิงยกข้อมือซ้ายของตนเองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จ้องมองหยกโลหิตที่ข้อมือของนาง
นางสวมมันยังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ หยกโลหิตหล่อเลี้ยงเลือดสีแดงในร่างกาย ทำให้มีความใสและบริสุทธิ์มากขึ้น
“ข้าสงสัย นี่จะต้องไม่ใช่หยกธรรมดาเป็นแน่ แม่ของเจ้าจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา” หรงเยี่ยกล่าวออกมา
ไป๋ชิงหลิงลุกขึ้นนั่ง มืออีกข้างหนึ่งของนางลูบไปบนกำไลโลหิตเบา ๆ “หากเป็นเช่นนั้น นั่นคือแม่ของข้าที่ไม่เคยสวมหน้ากาก ช่วยข้าออกจากภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้”
“อื้อ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...