ไป๋ชิงหลิงค่อยๆดึงสายตากลับมาแล้วพูดว่า:"กูหน่ายนาย เดิมทีอาการโรคขององค์หญิงคงที่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่กลับมาที่จวนองค์หญิง ก็ไม่มีอาการไอเป็นเลือดอีก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆต่อเนื่องกันอีกสักครึ่งปีนิดๆ อาการขององค์หญิงก็จะดีขึ้นอย่างมาก และถ้ากินยาเรื่อยๆตามกระบวนการรักษา โรคขององค์หญิงก็จะสามารถหายสนิทจากต้นตอได้ แต่ว่า......"
"เมื่อครู่ตอนที่หม่อมฉันเดินเข้าไปแล้วได้เห็นองค์หญิง องค์หญิงได้สูญเสียใจที่อยากมีชีวิตไปแล้ว นางอยากตาย บอกให้หม่อมฉันไม่ต้องให้ยากับนางแล้ว หม่อมฉันสงสัยว่า มีคนพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดต่อหน้าองค์หญิง ทำให้จิตใจขององค์หญิงท้อแท้สิ้นหวัง จึงทำให้อาการของโรคหนักขึ้นอย่างกะทันหัน"
เหลียนซางที่กำลังกวาดพื้นอยู่ ตัวแข็งทื่อ แต่นางยังคงรักษาท่าทีให้เหมือนเดิม กวาดใบไม้ในลานบ้านต่อไป
องค์หญิงใหญ่กวาดตาจ้องไปที่เหลียนซาง:"องค์หญิงไม่มีใจที่จะอยู่ต่อแล้ว!"
"เพคะ!"ไป๋ชิงหลิงคิดว่าเรื่องของฉางซิงเว่ยจะปิดบังต่อองค์หญิงใหญ่ต่อไปไม่ได้แล้ว:"มีเรื่องหนึ่ง เจาเสวี่ยมิกล้าปิดบัง"
องค์หญิงกวาดตามองมาที่นาง
ไป๋ชิงหลิงพูดต่อว่า:"ครั้งแรกที่เจาเสวี่ยตรวจดูอาการขององค์หญิง องค์หญิงก็ไม่มีใจที่จะอยู่ต่อเช่นกัน ต่อมาองค์หญิงได้ยินว่าคู่หมั้นฉางซิงเว่ยเข้าเมืองรับราชการ และเพื่อที่จะให้องค์หญิงรักษาตัวให้หายดี เจาเสวี่ยจึงให้กำลังใจกับองค์หญิงมาโดยตลอด องค์หญิงเองก็ให้ความร่วมมือ เมื่อวานนี้องค์หญิงให้เจาเสวี่ยเป็นตัวแทนเขียนจดหมายให้คุณชายฉาง เดิมทียังดีใจร่าเริง แต่เจาเสวี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆวันนี้องค์หญิงจึงไม่ยอมเข้ารับการรักษา อาการโรคก็หนักขึ้น"
"ฉางซิงเว่ย!"องค์หญิงใหญ่มองไปที่ไป๋ชิงหลิงอีกครั้ง ในตอนที่พูดชื่อ"ฉางซิงเว่ย"ออกมานั้น มีความเยือกเย็นเพิ่มเข้ามา
ส่วนหลวนอี๋ที่ได้ยินชื่อคนนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
นางกลัวตัวเองจะพูดอะไรผิดไป
"เพคะ องค์หญิงเคยบอกกับหม่อมฉันว่าคุณชายฉางเป็นจ้วงหยวนหลางในรุ่นก่อน รากฐานของตระกูลฉางอยู่ที่เมืองเหลียน บรรพบุรุษทำอาชีพการค้า ในเมืองเหลียนนับได้ว่าเป็นเศรษฐี และได้มีการหมั้นหมายกับองค์หญิงตั้งแต่ยังเด็ก"
"ยายแก่อิงกล้านักที่หักหลังหมิงหยางของข้า ทำกันอย่างนี้ได้เยี่ยงไร"องค์หญิงใหญ่ต่อว่าด้วยความโมโห
ไป๋ชิงหลิงมองไปที่เหลียนซางอีกครั้ง:"องค์หญิงยังพูดถึงอีกว่า เมื่อคราวก่อนที่ก่อนจะเป็นโรค เป็นเหลียนซางที่เป็นนางกำนัลใกล้ชิดของตัวเอง ที่เป็นคนช่วยส่งจดหมายให้กับจ้วงหยวนหลางตระกูลฉางคนนั้น อีกทั้ง ก่อนที่นางจะเป็นโรคมีช่วงสองเดือนที่เก็บตัวอยู่ในเรือนไม่ออกไปไหน แต่กลับติดโรคร้ายนี้เข้า ถ้าหากอิงตามโครงสร้างร่างกายและสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยขององค์หญิงตามที่หม่อมฉันทราบละก็ สภาพร่างกายขององค์หญิงไม่มีทางติดโรคนี้ด้วยตัวเองแน่นอน!"
เมื่อเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายมีเพียงคนร้อยละห้าถึงร้อยละสิบเท่านั้นที่จะติดเป็นโรค และคนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ที่ขาดสารอาหาร ผู้ที่ใช้ชีวิตไม่เป็นระเบียบ และผู้ที่ใช้แรงงานหนักในระยะยาว......
เป็นถึงลูกสาวภรรยาเอกของจวนอิง ไม่ได้ทำงานหนักใดๆทั้งสิ้น เป็นไปได้เยี่ยงไรที่จะขาดสารอาหาร เหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอด
อีกทั้ง ก่อนที่อิงหมิงหยางจะเป็นโรค ร่างกายก็แข็งแรงมาตลอด
และในตอนที่องค์หญิงใหญ่ได้ยินคำอธิบายของนาง แววตาก็เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ:"แล้วมีสาเหตุอะไรอีกที่ทำให้หมิงหยางติดเป็นวัณโรค!"
"องค์หญิงเคยสัมผัสโดยตรงกับผู้เป็นวัณโรค หรือใช้เครื่องมือเครื่องใช้ร่วมกันกับผู้เป็นวัณโรค!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...