แม่นมซั่งเหลือบมองเธอ เห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ค่อยดี จึงปลอบใจเธอสองสามคำ “พระชายา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีภูมิหลังครอบครัวอย่างไร จากความรักที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายา นางก็ไม่สามารถเหนือกว่าท่านได้”
ไม่ใช่เรื่องเหนือกว่าหรือไม่เหนือกว่า ในสายตาของคนอื่นต่างก็มองว่าไป๋ชิงหลิงนั้นต้องการตำแหน่งพระชายา
แต่ในใจของเธอนั้นรู้ดีว่า สิ่งที่เธอต้องการนั้นคือการได้ชีวิตคู่ที่มีแค่กันและกันไปตลอดชีวิต
ในชีวิตนี้นอกจากหรงเยี่ยแล้ว จะต้องไม่มีบุคคลที่สาม ไม่เช่นนั้น........
ช่างเถอะ ยังไม่ถึงจุดนั้น เธอไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้าย เธอเคยบอกว่าจะเชื่อใจหรงเยี่ย จึงควรเชื่อว่าเขาสามารถรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้
“แม่นมซั่ง” นางไม่มีทางได้เข้าตำหนักอ๋องหรง” ไป๋ชิงหลิงหันกลับมา วางฝ่ามือลงบนหัวของหรงจิ่งหลิน และลูบอย่างอ่อนโยน “ที่ใดมีผู้หญิงเยอะ ที่นั่นก็คือสนามรบ ระหว่างข้ากับท่านอ๋องหรง จะไม่มีบุคคลที่สามแน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะหมายปองตำแหน่งนางสนมของตำหนักอ๋องหรง ข้าก็จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว”
“นี่........” แม่นมซั่งเป็นคนหัวโบราณมาก และนางก็ติดตามไทเฮามาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเรื่องที่ผู้ชายจะมีภรรยาสามสี่คนนั้น จึงเป็นเรื่องที่ปกติ
แต่คำพูดเหล่านี้ของไป๋ชิงหลิง กลับทำให้แม่นมซั่งคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่ยากที่นางจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจได้
เพราะนางก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ไป๋ชิงหลิงพูดในตอนนี้ “ที่ใดมีผู้หญิงเยอะ ที่นั่นก็คือสนามรบ”
ยิ่งไปกว่านั้นไป๋ชิงหลิงได้ให้กำเนิดทายาทแก่ท่านอ๋องหรง แม้ว่าเธอจะไม่ได้วางแผนสำหรับตัวเอง แต่ก็คงวางแผนไว้ให้ลูกๆแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ แม่นมซั่งก็ชื่นชมในความกล้าหาญของไป๋ชิงหลิงเป็นอย่างมาก
นางควรจะยืนอยู่ข้างเดียวกับไป๋ชิงหลิง เพื่อที่จะได้ปกป้องเด็กทั้งสองคน
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจเจตนาของพระชายา” หลังจากแม่นมซั่งพูดจบ ก็พาเด็กทั้งสองออกจากห้องของไป๋ชิงหลิง
แต่ทันทีที่เด็กทั้งสองก้าวออกจากห้อง พวกเขาก็ถามพร้อมกันว่า “แม่นมซั่ง เสด็จพ่อจะแต่งงานกับนางสนมอีกไหม?”
แม่นมซั่งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก้มหน้ามองดูเด็กที่จูงอยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เมื่อนึกถึงสิ่งที่ไป๋ชิงหลิงพูดในห้อง นางก็ส่ายหน้าอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ไม่แต่งหรอก ตำหนักอ๋องหรงมีนายหญิงแค่คนเดียว ท่านอ๋องหรงก็มีผู้หญิงแค่คนเดียว นั่นก็คือเสด็จแม่ของซื่อจื่อและองค์หญิง”
“ออ” ไป๋ชงเซิงลดสายตาลง โดยไม่แสดงสีหน้ามากนัก
หรงจิ่งหลินก็ตอบกลับตามด้วย และไม่ได้ถามอะไรแม่นมซั่งอีก
แม่นมซั่งมองดูเด็กทั้งสองอีกครั้ง แล้วถามว่า “ซื่อจื่อ องค์หญิง เพิ่งกลับมาจากวัง หิวหรือไม่”
ไป๋ชงเซิงรีบพยักหน้าทันที “หิวแล้ว ข้าอยากกินของว่างที่แม่นมซั่งทำ”
“ได้ หม่อมฉันส่งซื่อจือกับองค์หญิงกลับห้องก่อน ค่อยไปเอาอาหารที่ห้องครัว”
“ได้” เด็กทั้งสองกลับเข้าห้องอย่างเชื่อฟัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...