ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 672

สรุปบท บทที่ 672 แผนสองประการของจักรพรรดิเหยา: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น

บทที่ 672 แผนสองประการของจักรพรรดิเหยา – ตอนที่ต้องอ่านของ ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น

ตอนนี้ของ ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น โดย พระจันทร์ขี้เมา ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายการเกิดใหม่ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 672 แผนสองประการของจักรพรรดิเหยา จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หลังจากเรื่องคลี่คลายแล้ว ประตูของตำหนักเฉียนชิงก็เปิดออก จักรพรรดิเหลือบมองเหล่าขุนนางที่กำลังคุกเข่า แล้วเดินผ่านหน้าพวกเขาไป

เขาเดินเร็วมาก ราวกับลมกระโชกแรง ก่อนที่เหล่าขุนนางที่คุกเข่าจนเวียนหัวจะรู้สึกตัว จักรพรรดิเหยาก็จากไปไกลแล้ว

เมื่อเขามาถึงข้างกายเต๋อเฟย จักรพรรดิเหยากล่าวว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

“คือท่านอ๋องหรงและท่านอ๋องเฉิน” ช่วงนี้เต๋อเฟยรู้สึกสับสน ยิ่งใกล้ถึงวันเทศกาลโคมไฟก็ยิ่งไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นลูกๆทั้งสาม เธอก็รู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก และรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น

จักรพรรดิเหยากอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน “ตำหนักอ๋องเฉิน”

“ท่านอ๋องเฉิน?” เต๋อเฟยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

จักรพรรดิเหยามองเห็นความกังวลในดวงตาของเธอ จึงพูดปลอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แม้ว่าท่านอ๋องหรงจะไม่ตอบรับ แต่เขาย่อมไม่เพิกเฉยต่อเด็กทั้งสาม แม้ว่าท่านอ๋องเฉินดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ตำหนักอ๋องเฉินตอนนี้ไม่มีนายหญิง และไม่มีนางสนมใดๆ เจ้าไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาทำร้ายลูกๆของเราอีก”

“ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่เชื่อท่านอ๋องเฉิน เพียงแต่ว่า........”

“เจ้าอยากให้พระชายาท่านอ๋องหรงดูแลเด็กทั้งสามคนมากกว่า”

เต๋อเฟยไม่ตอบ

จักรพรรดิเหยารู้สึกว่าเธอซูบผอมลงเพราะเรื่องการสถาปนาฮองเฮา เขาก็รู้สึกปวดใจมาก

เขากุมมือที่เย็นเฉียบของเธอแล้วพูดว่า “พระสนม เจ้าควรจะเชื่อใจข้า ข้าสามารถปกป้องลูกทั้งสามของเราได้”

“จักรพรรดิมีงานที่ต้องทำทุกวัน หม่อมฉันไม่อยากให้เด็กทั้งสามทำให้จักรพรรดิต้องวอกแวก และจักรพรรดิเองก็ไม่สามารถคอยจับตาดู เฟิงเอ๋อร์ เฉินเอ๋อร์และจูเอ๋อร์ได้ตลอดทั้งวัน”

หลายวันมานี้เธอคอยจ้องมองทั้งสามคนทุกวัน พวกเขาไปถึงไหน เธอก็ตามไปถึงนั่น แต่เรี่ยวแรงของเธอก็มีจำกัด

ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิธีนี้ โดยการส่งเด็กทั้งสามออกจากวังเป็นการชั่วคราว

และคนที่เธอเชื่อใจมากที่สุด ก็คือท่านอ๋องเฉินและท่านอ๋องหรง

แม้ว่าเหอเฟยจะไม่มีภูมิหลังครอบครัวที่แข็งแกร่ง แต่ท่านอ๋องหราวแต่งงานกับภรรยาที่มีภูมิหลังครอบครัวแข็งแกร่ง เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวลือว่าพระชายาท่านอ๋องหราวกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด

เหอเฟยจึงไม่สามารถอดกลั้นจิตใจที่กระตือรือร้นได้อีก

จักรพรรดิเหยาไม่กลัวเหอเฟย แต่มักจะคำนึงถึงครอบครัวตระกูลหวู่ของพระชายาท่านอ๋องหราวที่อยู่เบื้องหลังเสมอ!

ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าตระกูลหวู่จะไม่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจน แต่พรรคพวกของท่านอ๋องหราวก็มีความชัดเจน และแสดงถึงการคุกคาม

พวกเขาปรารถนาให้เหอเฟยเป็นผู้ดูแลวังทั้งหก สถานะของท่านอ๋องหราวก็จะกลายเป็นบุตรคนโต และสามารถเข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้

หลังจากประสบกับการเหตุการณ์ก่อกบฏของท่านอ๋องต้วน จักรพรรดิเหยาก็ระมัดระวังเป็นพิเศษ

เขารู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องสถาปนาตำแหน่งฮองเฮาและองค์รัชทายาทแล้ว

“บางที พวกเขาอาจไม่มีเจตนาที่จะแตะต้อง เฟิงเอ๋อร์ เฉินเอ๋อร์ จูเอ๋อร์!”

เต๋อเฟยกระวนกระวายใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเขา “จักรพรรดิ ท่าน........”

“พวกเขาคิดว่าข้าจะทำการสถาปนาฮองเฮาก่อนไม่ใช่หรือ ข้าจะทำให้ความปรารถนาของพวกเขาล้มเหลว!”

........

หลังจากที่หรงเฉินขึ้นรถม้า ก็เห็นเด็กน้อยทั้งสามนั่งอยู่ในรถม้า คนหนึ่งกำลังดูดนิ้ว อีกคนกำลังกัดจี้ที่ทำจากผ้า และอีกคนถือตุ๊กตาเศษผ้าอยู่ในมือ และเล่นอย่างจริงจัง

เมื่อหรงเฉินเห็นภาพนี้ เขาก็กุมขมับ และปวดหัว

เมื่อเด็กน้อยทั้งสามเห็นหรงเฉินขึ้นมา ก็คลานเข้าไปหาเขาทันที คนหนึ่งกอดขาเขาไว้ และกัดเสื้อผ้าของเขา

อีกคนดึงนิ้วมือของเขา ใส่เข้าในปากแล้วดูด

ส่วนอีกคนคลานขึ้นไปบนตักของเขา ไม่นานก็ฉี่รดใส่เขา

หรงเฉินรีบอุ้มองค์หญิงน้อยที่ฉี่รดใส่เขาออกจากตักของเขา และใบหน้าเขาก็ซีดเผือด...........

จากนั้น ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกเจ็บที่ขา

เมื่อก้มมองดู ก็เห็นว่าคือองค์ชายคนโต ในบรรดาสามพี่น้อง กำลังกัดขาของเขาอย่างแรง

หรงเฉินก้มมององค์ชายตัวน้อยทั้งสองคน สะอื้นไห้ไม่กี่คำ จากนั้นก็รีบอุ้มทั้งสอง เข้าไปในตำหนักอ๋องเฉินทันที!

อีกฝั่ง ขณะที่หรงเยี่ยไปที่ตำหนักอ๋องเฉิน ราชโองการก็ถูกส่งไปที่ตำหนักอ๋อง เมื่อหรงเยี่ยไปถึงจวนติ้งเป่ยโหว เขาก็ถูกพ่อบ้านฉีขวางไว้

เมื่อพ่อบ้านฉีเห็นเขากลับมา ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเดินไปข้างหน้าและพูดว่า “นายท่าน รีบกลับตำหนักอ๋องเถอะ ว่านกงกงได้พาคนมากมาย ใต้เท้าจงซู ราชองครักษ์และ.........คนของสำนักตุลาการก็อยู่ที่นั่นด้วย”

หรงเยี่ยขมวดคิ้ว คิ้วของเขาเริ่มขมวดลึกขึ้น

เขาเพิ่งออกจากวัง ก็มีคนที่วังมาหา

เขาคาดเดาบางอย่างได้ในใจ โบกมือแล้วพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนแล้วบอกกับพวกเขาว่า ข้าอยู่ที่จวนติ้งเป่ยโหว ให้พวกเขามาหาด้วยตัวเอง”

หลังจากพูดจบ หรงเยี่ยก็เดินเข้าไปในจวนติ้งเป่ยโหว

หลังจากกลับมาถึงลานชิงซิน หรงเยี่ยก็ตระหนักได้ว่าไป๋ชิงหลิงนั้น“หายไปแล้ว” เธอไม่ได้รักษาสัญญาว่าจะพักฟื้นอยู่ที่จวนติ้งเป่ยโหว แต่กลับไปยังจวนจวิ๋นอ๋องด้วยตัวเอง

แม้ว่าจะมีสาเหตุ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกอึดอัดใจ

เขาเดินออกจากลานชิงซินด้วยสีหน้าที่คร่ำเครียด หลิวหานเยียนไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ เขาจึงตรงไปที่จวนจวิ๋นอ๋อง

หลังจากที่ไป๋ชิงหลิงทานอาหารเสร็จ เปลือกตาของเธอก็กระตุก จากนั้นไม่นาน อิงเหลียนก็วิ่งเข้ามาในลานบ้าน และตะโกนว่า “พระชายา ท่านอ๋องออกจากวังพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง”

“อะไรนะ?” ไป๋ชิงหลิงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มๆ

เมื่อเอ่ยถึงโจโฉ โจโฉก็มาถึง มีเงาร่างสีม่วงแวบวับอยู่นอกประตู และเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว.........

ไป๋ชิงหลิงยืดหลังตรง อ้าปากแล้วตะโกน “หรงเยี่ย”

เธอก้มมองดูเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ลูกของใคร?”

เมื่อสาวใช้ในห้องเห็นหรงเยี่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่คร่ำเครียด ก็ตกใจและถอยออกไป

คนรับใช้ปิดประตู

หรงเยี่ยเดินเข้าไปหาเธอ ด้วยใบหน้าที่เย็นชา อีกมือก็ปลดผ้าที่ห่อที่หน้าอกของเขาออก แล้วยื่นจูเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนของเธอ....

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น