ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 79

ร่างกายของเสิ่นโหรวเม่ยสั่นสะท้าน จากนั้นนางได้หยุดร้องไห้ลงอย่างกะทันหัน แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเสียใจ

ฮองเฮาอู๋รีบเงยหน้าขึ้นและตำหนิลูกสาวของตัวเอง "หลวนอี๋ อย่าเสียมารยาทเช่นนี้"

หลวนอี๋ขมวดคิ้ว เมื่อถูกฮองเฮาอู่ตำหนิเข้า ความอารมณ์ดีที่มีอยู่แต่เดิมก็มลายหายไป

นางยืนอยู่กลางพระที่นั่งและกล่าวด้วยความน้ำเสียงเย็นชา "เสด็จแม่ ลูกเสียมารยาทตรงไหนเพคะ ลูกไม่เคยถูกใครที่ไหนรังแกแล้วกลับมาร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้เลย พี่หญิงใหญ่กลับเอาแต่ร้องไห้ เมื่อนางร้องไห้ เสด็จแม่กลับคิดว่าทุกคนในวังหลวงนี้ทำผิดต่อนาง ลูกไม่ได้สร้างปัญหาให้กับนาง เสด็จแม่กลับมาตำหนิลูกเช่นนี้"

หลวนอี๋เคยถูกเสิ่นโหรวเม่ยเอาเปรียบ และนางก็ไม่ชอบเสิ่นโหรวเม่ยตั้งแต่นั้นมา

ไม่ว่าเสิ่นโหรวเม่ยจะปฏิบัติต่อนางดีมากเพียงใด นางก็ไม่สามารถเชื่อใจเสิ่นโหรวเม่ยได้อีก

ฮองเฮาอู๋กลับคิดว่าลูกสาวของตัวเองไม่รู้เดียงสา และตอนนี้ก็กลับมาขึ้นเสียงเถียงกลับ จึงทำให้ฮองเฮาอู๋รู้สึกโกรธอย่างมาก

"หลวนอี๋ หากเจ้าไม่รู้จักพูดจาให้ดี เช่นนั้นก็กลับไปคัดลอกตำราพระไตรปิฎกต่อ"

สีหน้าของหลวนอี๋นิ่งและแข็งทื่อ จากนั้นถอยหลังไปสองสามก้าว "ไม่เพคะ ลูกขอโทษพี่หญิงใหญ่ก็ได้!"

นางรู้ดีว่าตัวเองมีแต่เสียเปรียบเมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นโหรวเม่ย จากนั้นจึงได้รีบกล่าวขอโทษเสิ่นโหรวเม่ย "พี่หญิงใหญ่ หลวนอี๋ขอโทษที่เมื่อสักครู่ข้าได้เสียมารยาทไป"

เมื่อพูดประโยคนี้จบลง หลวนอี๋ก็รู้สึกตลก

นางเป็นถึงองค์หญิง แต่กลับต้องขอโทษผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่า

ความอัดอั้นในครั้งนี้ ทำให้หลวนอี๋รู้สึกโกรธและเสียใจอย่างมาก

แต่ความโกรธและความเสียใจนี้ เสด็จแม่ของนางไม่เคยมองเห็นเลย

เสิ่นโหรวเม่ยพยักหน้าเล็กน้อย และอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ได้รับการปลดปล่อยออกมา จากนั้นจึงกล่าวว่า "เสด็จป้า น้องยังเด็ก ท่านอย่าได้โทษนางเลย"

"ตอนที่เจ้าอายุสิบสามขวบ เจ้าก็ได้เข้าไปศึกษาทักษะการแพทย์ในสำนักหมอหลวง แต่นางกลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย วันๆ เอาแต่หาเรื่องมาให้ข้า เม่ยเอ๋อร์ เมื่อสักครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ เล่ามาให้ข้าฟัง ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้กับเจ้าเอง" หลังจากที่ฮองเฮาอู่ตำหนิหลวนอี๋เสร็จ ก็ได้ซักถามเรื่องราวของเสิ่นโหรวเม่ยด้วยความเป็นห่วง

จากนั้นเสิ่นโหรวเม่ยก็ได้เงียบไปครู่หนึ่ง

ฮองเฮาอู๋ร้อนใจจึงได้เงยหน้าขึ้นและหันไปมองคนใช้ของเสิ่นโหรวเม่ย "บอกมาเดี๋ยวนี้ ใครรังแกคุณหนูของพวกเจ้า"

คนใช้รีบคุกเข่าลงและกล่าวว่า "ฮองเฮาเพคะ ช่วงนี้ท่านอ๋องหรงและหมอหญิงคนหนึ่งของไทเฮาสนิทสนมกันอย่างมาก และไทเฮาก็ไม่อนุญาตให้คุณหนูอยู่คอยปรนนิบัติข้างกายเป็นหมอหญิงประจำราชสำนักแล้วเพคะ"

สีหน้าของฮองเฮาอู๋เปลี่ยนไปมาก

ไม่ให้เสิ่นโหรวเม่ยคอยปรนนิบัติข้างกาย เช่นนั้นก็หมายความว่า ไทเฮาไม่ได้คาดหวังเรื่องการแต่งงานระหว่างหรงเยี่ยและเสิ่นโหรวเม่ยอีกต่อไปแล้ว

หมอหญิงที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายไทเฮาช่วงนี้นั้น ก็คือไป๋เจาเสวี่ยคนที่มีเรื่องบาดหมางและเผชิญหน้ากับพระสนมเอกหรงคนนั้นหรือ!

"ไป๋เจาเสวี่ย!" น้ำเสียงของฮองเฮาอู๋เฉียบคมและชัดเจนขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเสิ่นโหรวเม่ยได้ยินเช่นนั้นก็เกิดร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาอีกครั้ง

ฮองเฮาอู๋รีบปลอบ "ข้าก็คิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องผู้หญิงคนนั้นนี่เอง นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยมีลูกมาแล้ว นางจะมาเป็นพระชายาของท่านอ๋องหรงได้อย่างไร เม่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว"

เมื่อฮองเฮาอู๋พูดจบ เสิ่นโหรวเม่ยก็ร้องไห้หนักมากขึ้น

นางจะบอกกับฮองเฮาอู๋อย่างไรว่านางเห็นผู้หญิงคนนั้นกับท่านอ๋องหรงนอนด้วยกันแล้ว!

แต่เรื่องเช่นนี้ เมื่อพูดออกไป นางจะยังมีโอกาสอะไรอีก?

ไทเฮาให้นางอยู่ในวังหลวงและตรัสเรื่องเหล่านั้น ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าอยากให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นพระชายาหรง

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นโหรวเม่ยก็ยิ่งเสียใจและร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

หลวนอี๋กลอกตาเห็นฉากนี้

ผู้หญิงที่ชื่อว่าไป๋เจาเสวี่ยคนนี้ ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา......

ไม่เพียงแต่สามารถทำให้พระชายาขององค์ชายห้าเข้าคุกไปได้ แถมยังทำให้เสิ่นโหรวเม่ยร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้

นางจะต้องไปขอเป็นลูกศิษย์ของนางให้ได้......

"เสด็จแม่ ลูกกราบทูลลาเพคะ"

ฮองเฮาอู๋ไม่แม้แต่จะหันไปมอง เพียงแค่โบกมือและบอกให้นางออกไป

แม้ว่าหลวนอี๋จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกชินชานานแล้ว

นางหันหลังกลับและเดินตรงไปที่ตำหนักฮุ่ยหนิง......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น