บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1005

บทที่ 1005 ภัยพิบัติมาถึง

บทที่ 1005 ภัยพิบัติมาถึง

ฟ้าดินถูกปกคลุมด้วยความสงบและความเคร่งขรึม

มีเพียงเสียงของเฉินซีเท่านั้นที่เหมือนกับเสียงของธรรมชาติล่องลอยไปในอากาศช้า ๆ มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันเงียบสงบที่ทำให้หัวใจสงบนิ่ง ทำให้อากาศดูจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเต๋าที่อบอวลไปทั่วทั้งท้องฟ้า

ศิษย์ทั้งหมดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนจากความตื่นเต้นในตอนแรกเป็นเงียบสงบ

แม้แต่เหล่าสัตว์ร้ายบนยอดเขาจรัสตะวันตกในขณะนี้ก็นอนอย่างเงียบ ๆ อยู่บนพื้นและฟังอย่างตั้งใจ

ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่คนเดียวในระยะไกล ขณะที่นางจ้องมองไปยังร่างสูงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางแท่นบวงสรวงเต๋า ดวงตาของนางเปล่งกระกายและเอ่อล้นไปด้วยระลอกคลื่นแห่งความงดงามที่ไม่ธรรมดา

ในยุคบรรพกาลและก่อนที่ลัทธิเต๋าต่าง ๆ จะก่อตั้งขึ้น เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาโดยไม่แบ่งแยกนิกายหรือชาติกำเนิด และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสามารถฟังคำสั่งสอนที่ลึกล้ำของพวกเขาและมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับเต๋า

ในเวลานั้น เหล่าเทพอสูรต่างท่องไปทั่วโลกอย่างอิสระ ในขณะที่ปราชญ์มีจำนวนมากมายเหมือนมวลเมฆบนท้องฟ้า ซึ่งเต๋าอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และทุกนิกายต่างแข่งขันกันเอง มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและรุ่งโรจน์ที่สุดของโลกแห่งการบ่มเพาะ

น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผ่านไป โลกแห่งการบ่มเพาะเริ่มสร้างแนวทางการบ่มเพาะที่มีการแบ่งแยกอย่างเข้มงวด สถานการณ์ที่ลัทธิเต๋าเข่นฆ่ากันเองจากความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้น ทำให้เหตุการณ์ที่เต๋าถูกถ่ายทอดไปยังทุกคนไม่มีอีกต่อไป

ภาพที่ปรากฏตรงหน้านาง ทำให้ชิงซิ่วอี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมัยโบราณ อาจมีเพียงความใจกว้างดังกล่าวเท่านั้นที่จะทำให้บุคคลหนึ่งสามารถแข่งขันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในโลก และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาเต๋าในสามภพได้อย่างภาคภูมิ

นี่คือความเข้าใจของนาง

ถ้าใครยังคงยึดมั่นในความรู้ของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว คนคนนั้นก็จะมิอาจบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

แน่นอนว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ชิงซิ่วอี้เชื่อมั่นในใจนั้น เกี่ยวข้องกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

จากมุมมองของนาง แม้ว่าตอนนี้เฉินซีจะถูกจำกัดด้วยการบ่มเพาะของเขา ทำให้ความเข้าใจของเขาถูกจำกัดไว้ที่ภพมนุษย์ แต่ตราบเท่าที่ชายหนุ่มยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ในขณะที่มีจิตใจกว้างไกลและไม่ย่อท้อ เส้นทางเต๋าของเขาก็จะทอดกว้างออกไปแน่!

“เต๋านั้นไม่มีชื่อที่แท้จริง แต่ผู้แข็งแกร่งเรียกมันว่าเต๋า ความลึกล้ำของเต๋ามีอยู่ในฟ้าดิน และมันสะท้อนให้เห็นในทุกสิ่งในโลก ถ้าจิตใจของคนเราปราศจากสิ่งมัวหมอง จิตใจก็จะใสกระจ่าง และเต๋าจะอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง”

“เมื่อหยินและหยางแยกออกจากกัน ฟ้าดินก็ก่อตัวขึ้น ซึ่งการถือกำเนิดของเบญจธาตุได้สร้างโลกขึ้น สายลมกับสายฟ้าได้มอบชีวิตให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่ดวงอาทิตย์สาดแสงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฤดูกาลทั้งสี่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สัจธรรมของเต๋ามีอยู่ในทุกสิ่ง”

“เคล็ดวิชาเป็นตัวแทนของเต๋า และศาสตร์เต๋า…”

เสียงที่ใสกังวานประหนึ่งระฆังยามเช้าของเขายังคงแผ่ออกไปอย่างช้า ๆ ใบหน้าของเฉินซีนั้นสงบนิ่งดุจบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น ขณะที่ร่างของเขาเปล่งกลิ่นอายอันสูงส่งและเคร่งขรึมออกมา

แม้ว่าจะเป็นการถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างสิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบพบเจอในตลอดการเดินทางสู่เต๋า และไม่อาจถือว่าได้สร้างความตกตะลึงไปทั้งใต้หล้าได้ เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าปราชญ์ในสมัยโบราณ แต่ในมุมมองของศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มันเหมือนกับว่าพวกเขาได้รู้แจ้งโดยฉับพลัน มันทำให้เหล่าศิษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมาก และสูญสิ้นความคิดในขณะที่ตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้งอย่างกะทันหันนี้

นี่เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘เต๋าและเคล็ดวิชาทั้งหมดเท่าเทียมกัน’ โดยปกติแล้ว สิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุด คือสิ่งที่เข้าถึงใจผู้คนได้โดยตรงที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่เฉินซีได้เรียนรู้คือคัมภีร์เต๋าสูงสุดและความลึกล้ำของมหาเต๋าที่บรรลุความสมบูรณ์แบบ ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมสวรรค์ คัมภีร์เต๋านิรันดร์ เคล็ดมหาจุติ และความลึกล้ำของมหาเต๋าของธาตุทั้งห้า หยินหยาง วายุ อัสนี และอื่น ๆ เป็นต้น

เขาอธิบายถึงความเข้าใจและประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ด้วยวิธีที่รวบรัดและชัดเจนที่สุด จึงไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าศิษย์ของนิกาย แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนก็ยังหมกมุ่นอยู่กับมันและไม่สามารถหยุดฟังได้

ในตอนท้าย แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนที่บ่มเพาะอย่างสันโดษก็เริ่มฟังเขา และยืนยันสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับว่าผู้เยี่ยมยุทธ์สองคนกำลังแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และพวกเขาก็ได้รับประโยชน์จากมันอย่างมาก ทำให้สามารถไขข้อสงสัยและปัญหามากมายที่ติดค้างอยู่ในใจได้

ทว่าเฉินซีดูจะไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ ในยามนี้ เขากำลังตกอยู่ในภาวะที่แปลกประหลาด จิตใจของเขาทั้งบริสุทธิ์และใสกระจ่าง ในขณะที่ความเข้าใจมากมายผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง

กระบวนการถ่ายทอดเต๋า เป็นกระบวนการจัดระเบียบและสรุปทุกสิ่งที่เราได้ครอบครอง เพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการและคงไว้ซึ่งแก่นแท้

มันเหมือนกับการอ่าน บางคนสามารถอ่านหนังสือจนเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้ และบางคนสามารถอ่านหนังสือจนสรุปได้ ในขณะที่บางคนสามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วจึงสรุปได้

การเข้าใจอย่างลึกซึ้งคือ การหลอมรวมความรู้ทั้งหมดที่มีและอนุมานจากมัน ในขณะที่การสรุปเป็นการกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป โดยเหลือแต่สารสำคัญไว้เบื้องหลัง

กระบวนการนี้เป็นเหมือนวัฏจักรชีวิต บุคคลหนึ่งมีประสบการณ์ผ่านกาลเวลา สรุปผลได้ผลเสีย และหมกมุ่นอยู่กับความเข้าใจ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิตได้ไกลขึ้นและสูงขึ้นได้อย่างง่ายดาย

เฉินซีในยามนี้ดูจะหมกมุ่นอยู่กับการสะสมพลัง เขากำลังสรุปทุกสิ่งที่รู้สึกและเข้าใจบนเส้นทางของตน ก่อนที่จะขึ้นสู่ภพเซียนเพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์

เมื่อเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ มันจะเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับชายหนุ่ม และบทสรุปนี้จะปูทางที่กว้างขึ้นสำหรับเขา ทำให้เฉินซีก้าวเดินได้อย่างมั่นคงและราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับการเดินทางครั้งใหม่

เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว

ในวันนี้ เฉินซีถูกแรงกระตุ้นกะทันหัน และตื่นขึ้นจากภาวะแปลกประหลาดที่เขาหมกมุ่นอยู่ ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยกับจักรวาลอันกว้างใหญ่และลึกล้ำ

สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัด ขณะที่ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองยังคงหมกมุ่นอยู่ในความเข้าใจของพวกเขา และทุกคนก็ขมวดคิ้วในขณะที่ครุ่นคิดอย่างมีสมาธิ ขณะที่บ้างก็ทำท่าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง บ้างยังคงนิ่งเหมือนขุนเขา บ้างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า

แต่แท้จริงแล้วไม่มีสักคนเดียวที่สังเกตเห็นเสียงที่คลุมเครือดุจเสียงของธรรมชาติ หรือเสียงสวดมนต์ของคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ …ที่จู่ ๆ ก็หายไป

เฉินซีไม่ได้รบกวนพวกเขาเมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มยืนขึ้นและมาถึงตรงหน้าเฉินอวี่และเฉินอันเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ปลุกเด็กน้อยทั้งสองจากการทำสมาธิ ก่อนที่จะออกจากแท่นบวงสรวงเต๋าไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]