บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 110

บทที่ 110 การเผชิญหน้า
บทที่ 110 การเผชิญหน้า

สายน้ำที่เชี่ยวกรากหลั่งไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทันทีที่เฉินซีออกมาจากบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ เขาก็เห็นจี้อวี๋ยืนอยู่บนพื้นหญ้าริมฝั่งแม่น้ำจากระยะไกลเหมือนกำลังรอเขาอยู่

“ความก้าวหน้าของเจ้านับว่าไม่เลว ไม่เลวจริง ๆ” จี้อวี๋ยิ้มกว้างขณะกวาดสายตาไปที่เฉินซี คล้ายกับเห็นผลลัพธ์ของการบ่มเพาะของชายหนุ่ม

เฉินซียกยิ้มอย่างใสซื่อเมื่อได้รับคำชม จิตใจของเขาตอนนี้ยังคงสงบนิ่ง ในช่วงครึ่งปีมานี้ วารีวิญญาณหลายพันจินที่อยู่ในแหวนมิติถูกใช้ไป และศิลาวิญญาณดารากว่าหนึ่งร้อยก้อนก็ถูกใช้จนหมดสิ้น มันคงเป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ หากเขาไม่ก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ข้าขัดเกลากระบี่ไผ่ทองคำนิลให้เจ้าแล้ว ลองดูสิ” ขณะที่จี้อวี๋กล่าวก็ผายมือออก กระบี่ยาวสี่จั้งปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม กระบี่ทั้งเล่มมีดำสนิทและมีแสงสีดำสลัวปกคลุมอยู่ มันปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบออกมา

“ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างเลยนะขอรับ?” เขาตั้งใจที่จะหยิบมันขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ทว่าจู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!

ฟิ้ว!

รัศมีแห่งนิพพานที่ไร้ขอบเขตและกว้างใหญ่พุ่งออกมาจากกระบี่ไผ่ทองคำนิลฉับพลัน จากนั้นลำแสงสีดำก็ส่องประกายและกลายเป็นคนตัวเล็กที่มีความสูงราวสี่ชุ่น

คนตัวเล็กคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดสีขาวล่องลอยไปในสายลม เขามีดวงตาที่แพรวแพรวลึกล้ำ คิ้วดั่งคันศร และดวงแสงอันเจิดจ้ากับสายฟ้าที่หมุนเวียนอยู่รอบกาย ท่าทางของเขาช่างดูยิ่งใหญ่ เฉียบแหลม เย็นยะเยือก ทำลายล้าง แม้กระทั่งส่งกลิ่นอายแห่งนิพพาน

“หลิงไป๋?” ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้างและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที หลังจากที่จี้อวี๋ใช้วิชาสลายวิญญาณ กระบี่ไผ่ทองคำนิลได้หลอมรวมกับหลิงไป๋ซึ่งเป็นวิญญาณกระบี่ และเขาก็ไม่ได้เป็นศัสตราที่ไร้วิญญาณเหมือนอดีตอีกต่อไป!

ยิ่งกว่านั้น พลังสายฟ้าซึ่งเดิมทีกักเก็บอยู่ภายในกระบี่ไผ่ทองคำนิล ได้หลอมรวมเข้ากับกระบี่แดนนิพพานที่หลิงไป๋ครอบครองอยู่อย่างสมบูรณ์ มันมีกลิ่นอายของการทำลายล้างและรัศมีแห่งนิพพานที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ทำให้น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมจนชายหนุ่มเริ่มหวั่นเกรง

“เฉินซี ในที่สุดข้าก็บ่มเพาะได้แล้ว! ฮ่า ๆๆ!” หลิงไป๋กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเฉินซี ขณะที่เขายิ้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ดูมีความสุขมาก

“โอ้ แล้วตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน” เฉินซีถามด้วยความสงสัย สิ่งนี้เป็นสมบัติวิเศษชิ้นแรกที่สามารถบ่มเพาะได้ด้วยตัวเอง และเขาเพิ่งเคยพบเจอ อีกทั้งในอดีตยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสมบัติวิเศษที่สามารถบ่มเพาะได้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องปกติ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงไป๋ก็รู้สึกตกตะลึง สีหน้าของเขาสั่นไหวสลับไปมาระหว่างซีดเผือด ดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยว แต่ก็หดหู่ในเวลาเดียวกัน และเงียบอยู่เป็นเวลานาน

เฉินซีรีบปลอบประโลม “มันไม่สำคัญหรอกหากเจ้าอ่อนแอ แต่ก็บ่มเพาะได้แล้วนี่ ตราบใดที่ยังคงยืนหยัด สักวันหนึ่งเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเอง”

“จริงหรือ?” จิตวิญญาณของหลิงไป๋ได้รับการเยียวยา จากนั้นความเขินอายก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ ขณะที่กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้านั้นอ่อนแอมากจริง ๆ และคงเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ”

ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ!?

เฉินซีรู้สึกตกตะลึง หากระดับความแข็งแกร่งเช่นนี้ถือว่าอ่อนแอมาก แล้วความแข็งแกร่งของข้าไม่เรียกว่าโคตรอ่อนเลยหรือ?

“อย่าหัวเราะเยาะข้าเลย จริง ๆ แล้วเมื่อก่อนข้าน่าสะพรึงกลัวมาก นี่! เหตุใดเจ้าถึงยืนเงียบ? กำลังดูถูกข้าอยู่หรือ อันที่จริงแล้วแล้วข้าก็รู้สึกว่ามันน่าละอายมากเช่นกัน!” หลิงไป๋เสียงเบาลงเรื่อย ๆ และแทบจะเอาหน้ามุดดินด้วยความอับอาย เมื่อเห็นเฉินซีนิ่งเงียบ

การแสดงออกของเฉินซีแข็งทื่อไปหมด ‘เจ้าเด็กน้อยคนนี้กำลังเยาะเย้ยข้าอยู่หรือเปล่า?’

“อย่ากังวลไป ตอนที่ข้าใช้วิชาสลายวิญญาณ ข้าทิ้งร่องรอยของตราประทับวิญญาณไว้ให้ เจ้าตัวน้อยคนนี้จะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดในอนาคต และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำร้ายเจ้า” จี้อวี๋กล่าวผ่านกระแสปราณ เขาคิดว่าการแสดงออกของเฉินซีที่ผิดปกติเป็นเพราะกลัวว่าจะไม่อาจควบคุมหลิงไป๋ได้

“ข้า… ข้าแค่อยากรู้… ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำนั้นอ่อนแอมากในโลกแห่งการบ่มเพาะจริง ๆ หรือ?” เฉินซีถอนหายใจผ่านกระแสปราณ

“ฮ่า ๆๆๆ!” จี้อวี๋หัวเราะเสียงดัง แท้ที่จริงเป็นเพราะเจ้าหนุ่มนี่ถูกยั่วยุด้วยคำกล่าวของหลิงไป๋นี่เอง!

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ท่านกำลังล้อข้าหรือ?” ท่าทางของหลิงไป๋ไม่น่าดูอย่างยิ่ง และเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง เนื่องจากความรู้สึกของการเสียหน้านั้นยอมรับไม่ได้!

จี้อวี๋หัวเราะดังยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาหัวเราะจนท้องแข็ง

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะออกไป มีวิธีออกจากสุสานกระบี่แดนนิพพานหรือไม่” เฉินซีรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“พลังที่รักษาสุสานกระบี่แดนนิพพานให้คงอยู่ เป็นสิ่งปรมาจารย์ของหลิงไป๋หลงเหลือไว้และมันคือพลังนิพพานที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ตราบใดที่หลิงไป๋ยังคงมีชีวิตอยู่ พลังนี้จะถูกกักเก็บอยู่ในมิติแห่งนั้นตลอดไป และหน้าที่ของมันคือการคุ้มครองชีวิตของหลิงไป๋ หากเขามอดม้วย มิติแห่งนั้นก็จะถูกทำลายไปพร้อมกัน” จี้อวี๋กล่าวช้า ๆ

ต้องฆ่าหลิงไป๋?

หัวใจของเฉินซีเต้นผิดจังหวะ และยับยั้งใจไม่ให้เอ่ยถามใด ๆ เพราะรู้ว่าจี้อวี๋จะไม่ทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ใช้วิชาสลายวิญญาณเพื่อหลอมรวมหลิงไป๋เข้ากับกระบี่ไผ่ทองคำนิล

จี้อวี๋กล่าวต่อ “แน่นอน ในยามนี้มันแตกต่างออกไป หลังจากที่หลิงไป๋บ่มเพาะวิชาสลายวิญญาณ เขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ไผ่ทองคำนิล ทีนี้ก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในขณะนี้ พลังนิพพานที่รักษาสภาพของแดนนิพพาน คือต้นไม้ที่ปราศจากราก น้ำปราศจากแหล่งกำเนิด และเจ้าสามารถทำลายขอบเขตได้โดยขอให้หลิงไป๋ดูดซับพวกมัน”

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” เฉินซีเข้าใจได้ในทันที

“ใช่แล้ว จงพาไป๋คุยไปด้วย” ขณะที่จี้อวี๋กล่าว ไป๋คุยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็หมดความอดทน และบินไปที่ไหล่ซ้ายของชายหนุ่ม พร้อมกับการร้องเบา ๆ ก่อนที่จะแลบลิ้นน้อยสีชมพูเลียลำคอของเฉินซีด้วยความอบอุ่น

เฉินซีถูกเลียจนรู้สึกคันเล็กน้อยจึงคิดจะห้ามไป๋คุย แต่เมื่อหลิงไป๋เห็นไป๋คุยแววตาก็เป็นประกาย จากนั้นเขากระโดดขึ้นไปบนไหล่ซ้ายของเฉินซีด้วย เพื่อตั้งใจจะขึ้นขี่ร่างของไป๋คุย เจ้าตัวน้อยหล่อเหลาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ช่างเป็นสัตว์วิญญาณที่ดีเลิศ เหมาะที่จะเป็นยานพาหนะสัตว์ จงมากับข้าในขณะที่ข้าชี้ดาบไปที่โลกและสร้างชื่อให้แก่ตัวเอง!”

หลิงไป๋ที่สูงราวสี่ชุนสวมชุดสีขาว ส่วนไป๋คุยที่มีขนปุยสีขาวราวกับหิมะและมีขนาดเท่ากับกำปั้นเท่านั้น พวกเขาทั้งสองดูเข้ากันได้ดี…

อย่างไรก็ตาม ไป๋คุยกลับไม่เต็มใจที่จะให้หลิงไป๋ขึ้นขี่ ดังนั้นจึงกระโดดไปบนไหล่ขวาของเฉินซี เมื่อหลิงไป๋เห็นเช่นนี้ก็ขุ่นเคือง ก่อนจะไล่ตามไปที่ไหล่ขวาพร้อมกล่าวในใจ ‘สัตว์วิญญาณตัวน้อยเจ้ากล้าต่อต้านข้าหรือ?’

ด้วยเหตุเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กทั้งสองจึงวิ่งไล่กันไปมาบนไหล่ของชายหนุ่ม และความเร็วของพวกเขาก็รวดเร็วปานสายฟ้าขณะที่หยอกล้อกันไปมา

“หลังจากที่เจ้าออกไป จงหาสมบัติวิเศษที่พอจะใช้เป็นอาหารให้แก่เขา อย่างน้อยเขาก็เป็นสัตว์มงคลอันดับต้น ๆ ของโลก การทำให้อดอาหารย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควร”

จี้อวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าช่วยเจ้าปกปิดกลิ่นอายของเขาแล้ว เว้นแต่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมชาติที่หาพบ มิฉะนั้นจะไม่มีใครในโลกนี้จดจำตัวตนของเขาได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]