บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1160

สรุปบท บทที่ 1160 ลางบอกเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1160 ลางบอกเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่ จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1160 ลางบอกเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1160 ลางบอกเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่

บทที่ 1160 ลางบอกเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่

หายากอย่างยิ่ง!

ในระหว่างการทดสอบในอดีต การสรรเสริญจากทวยเทพสามครั้งก็น่ายินดีมากแล้ว ทว่าในเวลานี้ การทดสอบยังไม่สิ้นสุดเลยด้วยซ้ำ แต่มันกลับปรากฏถึงสี่ครั้ง!

ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แล้วพวกเขาจะไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อเห็นการสรรเสริญจากทวยเทพปรากฏกับจั่วชิวอิน มู่อวี่ชง และโม่ชีอวิน หลังจากที่มู่เสี่ยวลิ่วได้รับไปก่อนหน้านั้น หัวใจของทุกคนจึงค่อนข้างปั่นป่วน

“โลกกำลังเปลี่ยนไปจริง ๆ…” หวังต้าวหลูแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และถอนหายใจยาวเหยียด

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ลงเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาทราบอย่างชัดเจนว่า หวังต้าวหลูกำลังกล่าวถึงหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังจะส่งผลกระทบต่อภพทั้งสาม

ดังที่กล่าวกันว่า วีรบุรุษมักจะเกิดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาเหล่านั้นก็ได้ปรากฏขึ้นในระหว่างการทดสอบในปีนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ

“วิถีเต๋าแห่งสวรรค์มักเป็นไปในลักษณะนี้” โจวจื่อหลีกล่าวทันที “เมื่ออัจฉริยะที่โดดเด่นปรากฏขึ้นเช่นนี้ นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นลางบอกเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่หรอกหรือ?

สิ้นคำ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

หายนะครั้งใหญ่? นั่นคือสิ่งที่ต้องปูด้วยเลือดและกระดูกของผู้คนนับไม่ถ้วน!

แล้วทุกคนจะสามารถอยู่รอดภายใต้หายนะครั้งใหญ่ได้อย่างไร?

โจวจื่อหลีกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ก่อนจะกล่าวสองสามคำเบา ๆ “ถ้าท้องฟ้าพังทลายลงมา ก็ย่อมต้องมีคนแบกมันไว้!”

ทันทีที่กล่าวจบ ปรากฏการณ์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า และไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์เดียว แต่มีมากถึงสามปรากฏการณ์ซ้อนทับกัน!

ปรากฏการณ์แรก คือ แสงสีทองอันสง่างามที่เปลี่ยนเป็นสายฟ้าปกคลุมท้องนภา มันเข้าปกคลุมอ๋าวอู๋หมิง

ปรากฏการณ์ที่สอง คือ หิมะที่โปรยปรายผ่านชั้นฟ้าทั้งเก้า เผยให้เห็นรูปร่างของดอกไม้น้ำแข็ง ขณะที่พวกมันปกคลุมเจี้ยงฉางไฮ่

ปรากฏการณ์ที่สาม คือ เปลวเพลิงโหมกระหน่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พลิกกลับหัวบนท้องฟ้า และปกคลุมจงหลีสวิน

ในขณะนี้สายฟ้าสีทองร่ายระบำ หิมะโปรยปราย และเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ ได้ย้อมท้องฟ้าและผืนดินเป็นชั้น ๆ บังเกิดเป็นสีสันงดงาม

หลังจากนั้น การสรรเสริญจากทวยเทพมากมายก็ดังกึกก้องไปในสวรรค์ทั้งเก้า และทั่วฟ้าดิน ฟังคล้ายเสียงระฆังยามเช้า ซึ่งได้กระทบถึงส่วนลึกของหัวใจของผู้คน และทำให้ผู้ได้ฟังรู้แจ้ง

หัวใจของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ล้วนสั่นไหวเมื่อเห็นปรากฏการณ์ทั้งสามพร้อมกัน! เพราะจวบจนปัจจุบัน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน!

“นี่… เต๋าแห่งสวรรค์โปรดปรานถึงเพียงนี้… เป็นไปได้ไหมว่า…” ใครบางคนขมวดคิ้ว เสียงไร้ความตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความกังวลเล็กน้อย

“อย่ากล่าวถึงเรื่องเช่นนั้นในวันนี้!” โจวจื่อหลีพลันขมวดคิ้ว ในขณะที่สีหน้าเคร่งขรึมและหนักแน่นถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นชา อีกทั้งน้ำเสียงยังเผยความอหังการที่ไม่สามารถขัดขืนได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวอย่างชัดเจน นับตั้งแต่การทดสอบเริ่มขึ้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ คนอื่น ๆ ต่างขมวดคิ้ว และไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องนี้อีกต่อไป

บรรยากาศกดดันเล็กน้อย ดังนั้นหวังต้าวหลูจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “การสรรเสริญจากทวยเทพที่ศิษย์ทั้งสามนี้ชักนำลงมา แม้จะขาดเพียงเล็กน้อยในการบรรลุระดับที่หนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เลวจริง ๆ” ชายวัยกลางคนหยุดชั่วขณะ จากนั้นมองไปที่เฉินซี เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และจี้เซวียนปิงที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่บนศิลาลับเต๋า โดยไม่มีสัญญาณของการเคลื่อนไหวใด ๆ “ในบรรดาสี่คนนี้ มีกี่คนที่เจ้าคิดว่าจะสามารถได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพในระดับที่หนึ่ง ‘เสียงสะท้อนของฟ้าดิน’”

เขาไม่ได้ถามว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะสามารถรับการสรรเสริญจากทวยเทพได้หรือไม่ และถามโดยตรงว่าศิษย์เหล่านี้จะได้รับเสียงสะท้อนของฟ้าดินแทนหรือไม่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขามั่นใจว่าเฉินซีและอีกสามคนจะสามารถทำให้ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินจุติลงมาได้อย่างแน่นอน แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ระดับของการสรรเสริญจากทวยเทพที่จะได้รับ

ไม่มีใครถามเรื่องนี้เพราะมันชัดเจนสำหรับทุกคนที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นเจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง หรือเฉินซี ทั้งสี่ล้วนโดดเด่นกว่าศิษย์คนอื่น ๆ

มันคงเป็นเรื่องตลกหากพวกเขาไม่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินได้!

“พวกเขาทั้งหมดน่าจะทำได้ อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างยากเล็กน้อย ในการแยกแยะผู้ชนะที่ชัดเจน” อาจารย์จี้เหวินครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “ศิลาลับเต๋าจะขัดเกลาเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ การนั่งสมาธิอยู่บนนั้นก็เหมือนอยู่ท่ามกลางสนามรบ ผู้ที่มีเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ก็สามารถคงอยู่ได้นานขึ้น หากเจ้าตรองให้ดี เฉินซีที่อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น อาจจะด้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรอีกสามคนก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง”

มีคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยและเป็นอาจารย์จากตระกูลมู่กล่าวว่า “แม้ว่าเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ จะเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะของคนคนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ไม่สามารถบรรลุได้ หากปราศจากศักยภาพและดวงจิตแห่งเต๋า ซึ่งเฉินซีก็ครอบครองการบ่มเพาะในดวงจิตแห่งเต๋าที่ขอบเขตวิญญาณดวงใจ ดังนั้นคนอื่น ๆ จะเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร?”

“คำกล่าวเหล่านี้เป็นเพียงด้านเดียว แม้เฉินซีจะไม่ธรรมดาจริง แต่เขาก็ยังด้อยกว่าผู้อื่นในแง่ของการต่อสู้จริง” หญิงงามจากภพวิหคอมตะ จ้าวชิงผิงกล่าวช้า ๆ

“ช่างน่าขันเสียจริง! เฉินซีคืออันดับที่หนึ่งในระหว่างการทดสอบการต่อสู้จริงในรอบที่สอง!” อาจารย์จากตระกูลเซวียนหยวนหัวเราะอย่างเย็นชา

“เซวียนหยวนเหมิง อย่าลืมว่าแต้มดาราที่เขาครอบครองส่วนใหญ่ ได้มาจากการใช้เล่ห์กล เขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามคนที่เหลือในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว” อาจารย์จากตระกูลเจี้ยงแค่นเสียงเย็น

เมื่อการถกเถียงดำเนินมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของจั่วชิวฮงที่เงียบมาตลอดก็แข็งทื่อเล็กน้อย

“เล่ห์กล? เฉินซีตามล่าและฆ่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวของข้า แต่เจ้ากลับถือว่าเป็นแค่เล่ห์กลเท่านั้น? นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าดูถูกศิษย์ของตระกูลจั่วชิวของข้าหรอกหรือ?”

“เจ้าทำให้ศิษย์ของตระกูลของข้าดูเหมือนเป็น ‘ลูกพลับสุก’ ที่เฉินซีสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย…”

แม้จั่วชิวฮงจะเกลียดเฉินซีเพียงใด แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ดังนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ทันที “โชคไม่ใช่ปัจจัยในการทดสอบรอบที่สอง!”

เนื่องจากไม่มีอาจารย์จากภพพุทธองค์อยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครยกย่องหรือตัดสินมัน แต่เห็นได้ชัดจากปฏิกิริยาของทุกคนว่า ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินที่จุติลงมาหาเจิ่นลู่นั้น ยอดเยี่ยมที่สุดในการทดสอบทั้งหมด!

หลังจากนั้นไม่นาน มีคนกล่าวว่า “เด็กคนนี้เทียบได้กับหลิงชิงอู๋เมื่อหลายปีก่อน”

ทุกคนล้วนเงียบสนิท เพราะคนที่กล่าวนี้คือโจวจื่อหลี อาจารย์ใหญ่ฝ่ายนอกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหักล้างมันได้

“หากเป็นเช่นนั้น การสรรเสริญจากทวยเทพที่เด็กคนนี้ได้รับนั้นอยู่ในระดับสูงสุดใช่หรือไม่?” หวังต้าวหลูพึมพำ

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อาจารย์คนอื่น ๆ ก็มีความรู้สึกซับซ้อนในใจ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย เมื่อเห็นคนจากภพพุทธองค์เหนือกว่าศิษย์ของภพเซียน

“แล้วเฉินซีล่ะ? ทำไมไม่มีความเคลื่อนไหวจากเขาเลย” อาจารย์เจี้ยงถามทันที

คนอื่น ๆ ต่างเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าเฉินซียังคงนั่งเงียบ ๆ อยู่บนศิลาลับเต๋าโดยไม่ขยับ และไม่แสดงสัญญาณใด ๆ ของปรากฏการณ์แห่งฟ้าดิน พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างมาก

“เจ้าหนูนี่คงไม่สามารถชักนำปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินลงมาได้กระมัง?” อาจารย์จากตระกูลจงหลีกล่าวหยอกเย้าเล็กน้อย

“ย่อมไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน อันที่จริง การที่เขาสามารถคงอยู่บนศิลาลับเต๋าจนถึงตอนนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่า เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นน่าเกรงขามเพียงใด แต่การเหนือกว่าเจิ่นลู่ก็เป็นเรื่องยากแล้ว” อาจารย์จากตระกูลมู่ถอนหายใจ

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลายคนมีความเข้าใจที่ขัดแย้งและซับซ้อนเกี่ยวกับเฉินซี

พวกเขาหวังว่าเฉินซีจะสามารถเอาชนะเจิ่นลู่ เพื่อนำความรุ่งโรจน์มาสู่ภพเซียน แต่ในทางกลับกันก็ไม่เต็มใจที่จะเห็นฉากนั้นเกิดขึ้น

ทว่าสิ่งต่าง ๆ จนถึงตอนนี้ มันได้พิสูจน์แล้วว่า ศิษย์จากตระกูลของพวกตนด้อยกว่าเจิ่นลู่เล็กน้อย ถ้าเฉินซีแซงหน้าเจิ่นลู่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์จากกองกำลังของพวกตนจะไม่ไร้ประโยชน์เกินไปหรือ?

“มันเป็นไปไม่ได้ พลังแห่งการสรรเสริญจากทวยเทพที่เจิ่นลู่ได้รับนั้นอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว อย่างมากเฉินซีก็อาจเทียบเคียงได้” จั่วชิวฮงกล่าวอย่างใจเย็น และไม่ได้เติมเชื้อไฟใส่ร้ายแต่ประการใด เพราะเขากล่าวความจริง และไม่จำเป็นต้องเสียความคิดใด ๆ ในการแสดงความดูถูกเหยียดหยาม

คนอื่น ๆ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ใช่แล้ว เฉินซีไม่อาจเหนือกว่าเจิ่นลู่ อย่างมากก็ได้แค่เทียบเท่าเจิ่นลู่ได้เท่านั้น

ในขณะนี้ หวังต้าวหลู ดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ และกล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนยังจำการสรรเสริญจากทวยเทพของศิษย์ที่ชื่ออวินฟูเซิง เมื่อหนึ่งหมื่นเก้าพันปีที่แล้วได้หรือไม่?”

“อวินฟูเซิง?”

ทุกคนตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาจะกระตุกวูบ จากนั้นร่างอันหล่อเหลาอย่างไม่มีใครเทียบได้ ทั้งหยิ่งทะนงและอยู่ห่างไกลเหมือนเหยี่ยว อีกทั้งยังเงียบสงบเหมือนดอกบัวก็ลอยเข้ามาในความคิดของทุกคน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]