บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 119

บทที่ 119 ผู้ใดไร้ศักดิ์ศรี
บทที่ 119 ผู้ใดไร้ศักดิ์ศรี

ศาลาชุมนุมเซียนถูกเรียกว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันดับหนึ่งของเมืองทะเลสาบมังกร ผู้ที่มาใช้บริการมีทั้งความแข็งแกร่งน่าเกรงขามหรือภูมิหลังที่ลึกซึ้ง และล้วนเป็นบุคคลชั้นสูง

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยปรากฏตัวที่นี่เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะเหยียนชิงหนี่พาพวกเขามาที่นี่เพื่อหาความรื่นรมย์

เหยียนชิงหนี่คือใคร?

เฉินซีไม่รู้แน่ชัด เมื่อครั้งอยู่นอกประตูเมือง เขาพบว่าการบ่มเพาะของหญิงสาวคนนี้ไม่อาจหยั่งถึง และอย่างน้อยก็ต้องอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลหรือสูงกว่า ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เก็บงำไว้จากท่าทางที่หยิ่งผยอง ภูมิหลังของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

ดังนั้นเฉินซีจึงไม่กังวลเมื่อเห็นมู่เหยากับมู่เหวินเฟยเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ หากการคาดเดาถูกต้อง …หญิงสาวที่ชื่อเหยียนชิงหนี่คงจะรั้งเขาไว้ในไม่ช้า

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่นี้คือศาลาชุมนุมเซียน หากความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่นี่ กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังศาลาชุมนุมเซียนจะไม่ยินยอมอย่างแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้น?” ต้วนมู่เจ๋อลุกยืนขึ้นและเดินออกไป ก่อนที่จะมองลงไปที่ศาลาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “เซี่ยจ้าน? ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าส่งเสียงดังในศาลาชุมนุมเซียน ที่แท้ก็เป็นเขาเอง”

“เขาแข็งแกร่งมากหรือเปล่า” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ คนที่สามารถทำให้นายน้อยต้วนมู่เจ๋อจดจำเขาได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา

“เขาเป็นลูกชายคนที่สองของผู้นำตระกูลเซี่ย และเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง แม้จะอายุเพียงสิบเก้าปี แต่ก็บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลถึงขั้นหกดาราแล้ว และถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะตัวน้อยแห่งตระกูลเซี่ย”

ต้วนมู่เจ๋อกล่าวว่า “แต่อารมณ์ของชายคนนี้เลวร้ายนัก คอยแต่สร้างปัญหาตลอดเวลา อีกทั้งยังมีนิสัยดุร้าย เอาแต่ใจ และหยิ่งยโส หากไม่ใช่เพราะมีตระกูลเซี่ยคอยหนุนหลัง เขาคงถูกใครบางคนทำให้พิการไปนานแล้ว” ต้วนมู่เจ๋อส่ายศีรษะในขณะที่กล่าววาจาถูกเหยียดหยามเซี่ยจ้าน

ตระกูลเซี่ยก็เป็นหนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร และในฐานะลูกชายคนที่สองของผู้นำตระกูลเซี่ย เซี่ยจ้านนั้นมีนิสัยหยิ่งยโสและเจ้าเล่ห์ แต่ตราบใดที่ไม่ยั่วยุผู้ทรงพลังใด ๆ ก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา

“ใช่ เหตุใดถึงเรียกเขาว่าอัจฉริยะตัวน้อยเล่า” เฉินซีถาม

“เป็นเพราะพี่ชายของเขา เซี่ยเหมิง ในตระกูลเซี่ยเหมิงกับเซี่ยจ้านได้รับขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยเหมิง เขาเป็นคนที่ทรงพลังและเป็นคนที่อยู่ในอันดับที่ 23 ในการจัดอันดับมังกรซ่อนครั้งล่าสุดด้วยอายุเพียงสิบสามปี…”

“และได้บ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา ตอนนี้ก็ผ่านไปสิบปีแล้ว ความแข็งแกร่งย่อมทรงพลังไม่หยอกแน่” ต้วนมู่เจ๋ออธิบายและดวงตาของเขามีร่องรอยความเกรงกลัวปรากฏอยู่

เฉินซีต้องยอมรับว่าเซี่ยเหมิงผู้นี้ทรงพลังอย่างแท้จริง ตอนอายุสิบสามปีสามารถบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดแล้ว หากยึดตามความเร็วนี้ สิบปีต่อมา… การบ่มเพาะของเขาจะบรรลุถึงระดับใด?

เมืองทะเลสาบมังกรสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นที่สิงสถิตของมังกรซ่อนและพยัคฆ์หมอบ!

เฉินซีจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจไปกี่ครั้ง สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักแจ้งว่า ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยังมีคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเสมอ โลกนี้กว้างใหญ่เกินไป และจะไม่มีวันขาดแคลนอัจฉริยบุคคล

“อืม? เขาทำเกินไปแล้ว!” ในขณะนี้ ต้วนมู่เจ๋อมองไปที่ด้านนอกศาลาด้วยความตกตะลึง

เฉินซีหันกลับมาด้วยสีหน้ามืดมนเมื่อได้ยินบทสนทนา

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่คุ้นเคย

ทิวทัศน์ที่ราวกับเป็นดินแดนเซียน อาหารเลิศรส ชายหญิงผู้สูงศักดิ์… ที่แห่งนี้ไม่ใช่ย่านสามัญชนที่พวกเขาคุ้นเคย และผู้คนที่พบเจอก็ไม่ใช่คนยากไร้เสมอตน

ทุกสิ่งอย่างกดให้ทั้งสองรู้สึกต่ำต้อยและอับจนหนทาง สองพี่น้องเป็นลูกกวางตัวน้อยในฝูงหมาป่า ที่ทำได้เพียงตื่นตระหนก หวาดกลัว และกระวนกระวาย

ความโกรธเผยขึ้นบนใบหน้าของสองพี่น้อง และเมื่อมองชายร่างสูงที่ผุดรอยยิ้มเย็น อีกทั้งสายตาคู่นั้นยังราวกับแมวเล่นกับหนู

พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการหันหลังกลับและออกจากรังอสูร ทั้งสองทำอะไรไม่ถูก หวาดกลัว และโกรธเคือง!

“น้องชายตัวน้อย เจ้าไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว ข้าจะขอโทษ” มู่เหยาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่พยายามระงับโทสะ แต่ทันทีที่กล่าวจบ ร่างเพรียวบางก็สั่นสะท้าน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวที่มีอายุเพียงสิบห้าปีคนนี้ ต้องอดทนต่อความโกรธและความอัปยศอดสูเพียงใด

“สายไปแล้ว! การคุกเข่าและขอโทษมันไม่มีผลใด ๆ อีกต่อไป แต่ถ้ายอมตกลงเป็นนางบำเรอของข้า ข้าจะยอมปล่อยน้องเจ้าไปเป็นอย่างไร?” เซี่ยจ้านเชิดหน้าชูคอขณะที่กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“เจ้า…!” มู่เหวินเฟยคำรามด้วยใบหน้าซีดเซียว “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพยายามลวนลามพี่ใหญ่ของข้าก่อน นางคงไม่มองหน้าเจ้า นี่มันรังแกกันชัด ๆ!”

มู่เหยาตกตะลึงเช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ได้คิดจะปล่อยนางไปตั้งแต่แรก

“ฮ่า ๆๆๆ!” เมื่อเห็นท่าทางที่โกรธแค้นและไร้หนทางของสองพี่น้อง เซี่ยจ้านก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ข้ากำลังรังแกคนอื่น แล้วอย่างไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาอันน่าเชยชมของพี่สาวเจ้า นายน้อยคนนี้คงฆ่าเจ้าทั้งคู่ไปนานแล้ว เหตุใดถึงต้องมากล่าววาจาไร้สาระกับพวกเจ้าอีกล่ะ”

มู่เหยากับมู่เหวินเฟยโกรธจนตัวสั่น ทั้งสองเป็นดั่งสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในกรง สิ้นหวังและไร้หนทาง…

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของผู้คน ดวงตาเย้ยหยันจับจ้องไปยังมู่เหยากับมู่เหวินเฟยราวกับกำลังรับชมการแสดง

สายตาของคนเหล่านี้เฉียบแหลมอย่างยิ่ง เพราะสามารถแยกแยะได้จากพฤติกรรมกับท่าทางของสองพี่น้อง พวกเขาเป็นผู้มาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในเมืองทะเลสาบมังกร และอาจมาจากหมู่บ้านห่างไกลบางแห่ง

แล้วจะมีผู้ใดที่กล้าเป็นศัตรูกับเซี่ยจ้าน เพียงเพื่อคนต่ำต้อยและยากจนเช่นพวกเขา?

“ข้าจะนับถึงสาม หากนางไม่ยินยอม ข้าคงต้องใช้กำลัง” เซี่ยจ้านยกจอกสุราขึ้นก่อนที่จะค่อย ๆ จิบและลิ้มรสมันด้วยท่าทางสุขุม จริงอย่างที่คนอื่น ๆ คาดคิด เขาสังเกตเห็นว่าพี่น้องคู่นี้ดูไม่เหมือนคนที่มีภูมิหลังมาก่อน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดูเหมือนขี้แพ้

“ทำตามนายน้อยเซี่ยเถอะ เขาเป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลเซี่ย หากยินยอมติดตามเขา เจ้าจะสามารถเพลิดเพลินไปกับความมั่งคังและเกียรติยศไปชั่วชีวิต และนั่นเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าอื่นใด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]