บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 120

บทที่ 120 การต่อสู้ในสนามประลอง
บทที่ 120 การต่อสู้ในสนามประลอง

2ตอนต่อวัน

มีคนออกมาสร้างความวุ่นวายอีกแล้ว!

เมื่อเห็นฉากนี้ แววตาของพวกเขาฉายแววความตื่นเต้นไหวระริก

เหยียนชิงหนี่เป็นหนึ่งในสามสิบหกศิษย์ที่แท้จริงของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ส่วนต้วนมู่หลินก็เป็นสมาชิกของหนึ่งในหกตระกูลใหญ่นั่นก็คือ ตระกูลต้วนมู่ ทั้งสองคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญในรุ่นเยาว์มีทั้งสถานะสูงส่ง แต่กลับไม่อาจตอบโต้เซี่ยจ้านได้

แล้วเจ้าเด็กอวดดีนี่โผล่มาจากที่ไหน? เขาจะทำอะไรกับเซี่ยจ้านได้?

“พี่ใหญ่เฉินซี” มู่เหยากับมู่เหวินเฟยกล่าวด้วยความประหลาดใจ

ผู้ที่มาใหม่คือเฉินซี เนื่องจากเขาเป็นคนพาพี่น้องคู่นี้มาที่เมืองทะเลสาบมังกร เขาจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?

“พวกเจ้าสองคนยืนดูเฉย ๆ ก็พอ ไว้ข้าจะพาเจ้าทั้งสองไปด้วยในภายหลัง” ชายหนุ่มยิ้มให้พี่น้องคู่นี้ในขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ร่างกายและจิตใจของมู่เหยากับมู่เหวินเฟยถูกกรีดลึก มันทำให้ทั้งสองโดดเดี่ยว หมดหนทาง และโกรธแค้น อีกทั้งยังทุกข์ทรมานจากความอยุติธรรม การปรากฏตัวของเฉินซีพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้สองพี่น้องสัมผัสถึงความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ ต่อให้เวลานี้ท้องฟ้าถล่มลงมา พวกเขาก็จะปลอดภัยอยู่เบื้องหลังแผ่นหลังแกร่งนี้

“เหตุใดถึงเป็นเจ้า?” เหยียนชิงหนี่ขมวดคิ้ว จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทางเหยียดหยาม “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโอ้อวดความสามารถหรือทำตัวโดดเด่น ระวังตัวไว้ มิเช่นนั้นเจ้าอาจต้องจบชีวิต”

เฉินซีโยนขวดหยกให้แก่นาง “ขอบคุณสำหรับคำเตือน จงเก็บวารีวิญญาณยี่สิบจินนี้กลับคืนไป การที่ช่วยมู่เหยากับมู่เหวินเฟยและพามาที่เมืองทะเลสาบมังกร ข้าไม่ได้คิดหาโอกาสเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น”

เหยียนชิงหนี่ตกตะลึง นางถือขวดหยกไว้และไม่ได้คิดจะกล่าวอะไรอีก เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะจากต่างเมือง ที่ไม่ทราบว่าตัวตนของตระกูลเซี่ยมีอำนาจเพียงใด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นางได้เห็นผู้บ่มเพาะจากต่างเมืองที่ไม่รู้อะไรเลย หรือพวกที่คิดสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในเมืองทะเลสาบมังกร แต่ช่างน่าเสียดาย ชะตากรรมของพวกเขากลับไม่มีข้อยกเว้น และต้องมีจุดจบที่น่าอนาถใจ!

ในขณะนี้ เฉินซีกลายเป็นคนเยี่ยงนั้นในสายตาของเหยียนชิงหนี่ไปโดยปริยาย

“เฮ้ พี่ชาย เจ้ากำลังพยายามทำตัวเป็นวีรบุรุษอยู่หรือ?” ต้วนมู่หลินรู้สึกว่าความโดดเด่นของตนกำลังถูกกลบ เขาจึงกล่าวประชดประชัน “อย่าทำร้ายชีวิตตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ไม่มีใครมาคอยเก็บกวาดศพของเจ้าหรอกนะ”

ชายหนุ่มยิ้มขณะชี้ไปยังศาลาไม้ไผ่ แล้วกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “มีคนที่นั่นขอให้ข้าบอกให้เจ้าไสหัวไปซะ มิฉะนั้นก็ให้ข้าช่วยหักขาของเจ้าซะ”

“มารดามันเถอะ โผล่หัวมาให้ข้าดูหน่อย ว่าใครกล้ากล่าวเช่นนี้!” ต้วนมู่หลินเดือดดาล เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยแวบเข้ามาตรงหน้าต่างศาลาไม้ไผ่ นั่นก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านและหน้าซีดเผือดในบัดดล ชายผู้นี้ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ก่อนจะรีบหันหลังจากไปอย่างเร่งรีบ

เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนต่างชะเง้อหน้ามองดูด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นว่าหน้าต่างถูกปิดไปแล้ว

เหยียนชิงหนี่เหลือบมองไปที่เฉินซีอย่างเคลือบแคลง และดวงตาคู่สวยก็วูบไหวไปมา

เนื่องจากชายหนุ่มใช้การพูดผ่านกระแสปราณ นางจึงไม่ได้ยินอะไร กระนั้นก็ตระหนักได้ว่า ต้วนมู่หลินผู้ซึ่งไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดกลับแสดงความหวาดกลัวอย่างสุดขีด!

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?

‘ต้วนมู่หลินที่ตามติดข้าแจเหมือนปลิง เขาจะไม่กล่าวอะไรเลยสักคำแล้วเดินจากไปเฉย ๆ อย่างนั้นหรือ’

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็มีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน?’

เหยียนชิงหนี่ไม่อาจทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นนางจึงวางแผนที่จะยืนดูต่อไป นางต้องการดูว่าชายผู้นี้จะจัดการกับเซี่ยจ้านได้อย่างไร

“สหายเต๋า เจ้าจะสู้กับข้าหรือ” เซี่ยจ้านกล่าวช้า ๆ และเผยแววตาคมกริบตวัดมองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า

ตั้งแต่เฉินซีปรากฏตัวขึ้น จนกระทั่งต้วนมู่หลินจากไป เซี่ยจ้านก็เฝ้ามองมาตลอด แม้ว่าเขาจะเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ใช่คนขลาดเขลา เขารู้ดีว่าคนที่กล้าออกมาต่อต้านในตอนนี้ไม่ใช่คนหนุ่มที่หุนหันพลันแล่นหรือต้องการโอ้อวดความแข็งแกร่งแต่อย่างใด

“นั่นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้ากระทำ” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย

เซี่ยจ้านกลอกตาไปมา “ข้าจะปล่อยสองพี่น้องนี้ตามที่เจ้าต้องการและไม่ถือโทษอีก ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะคนของข้าได้ ถ้าทำไม่ได้… ก็จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ซะ คิดว่าอย่างไรล่ะ?”

“ข้าเห็นด้วย”

“ยอดเยี่ยม!” เซี่ยจ้านหัวเราะเสียงดัง

“แต่ข้ามีเงื่อนไข” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทางสงบ

“ว่ามา”

“เมื่อข้าชนะแล้ว เจ้าต้องคุกเข่าคำนับขอโทษพวกเขาสามครั้ง” เฉินซีกล่าวแผ่วเบา

“จะ… เจ้า…” ดวงตาของเซี่ยจ้านเบิกโพลงด้วยความโมโห “ไอ้หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเล่นกับไฟ”

“เจ้าไม่กล้าตกลงหรือ” เฉินซียังคงไม่แยแสและเพิกเฉยต่อจิตสังหารอันเข้มข้นของเซี่ยจ้าน

“ตกลง! ข้าจะตั้งกฎการต่อสู้” เซี่ยจ้านครุ่นคิดพักใหญ่ ก่อนที่จะกล่าวเสียงเข้ม “หากเจ้าชนะทั้งสามครั้ง ข้าจะทำตามที่เจ้าบอกทันที แต่หากเจ้าแพ้ก็จงทิ้งชีวิตไว้ซะ! และไม่ต้องกังวล เพื่อพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้รังแกเจ้า ทุกคนที่เข้าร่วมการต่อสู้จะมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่าขอบเขตเคหาทองคำ”

“นี่มันรังแกกันชัด ๆ พี่ใหญ่เฉินซีเพียงคนเดียวจะสู้ติดต่อกันทั้งสามครั้งได้อย่างไร” มู่เหวินเฟยร้องเสียงดัง

เฉินซีเหยียดมือออกเพื่อยับยั้งมู่เหวินเฟย จากนั้นมองไปที่เซี่ยเจิ้น ก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ ว่า “ตกลง!”

เซี่ยจ้านหัวเราะเหี้ยมเกรียม จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ผู้ดูแล! จงไปจัดสนามประลองที่จุคนได้นับพัน ข้าต้องการให้ทุกคนได้เห็นว่าผู้บ่มเพาะที่น่ารังเกียจจากต่างเมือง จะต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถเป็นเยี่ยงไร!”

ศาลาชุมนุมเซียนได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันดับหนึ่งของเมืองทะเลสาบมังกร ดังนั้นย่อมไม่ขาดสนามประลองที่จะให้บรรดาแขกเดิมพัน และประลองเพื่อความบันเทิง

เพื่อสร้างชื่อให้แก่ตนเองในเมืองทะเลสาบมังกร ผู้บ่มเพาะจำนวนมากจากต่างเมือง ล้วนเลือกที่จะเข้าร่วมการต่อสู้แบบเดิมพันในสนามประลองแห่งนี้ ผู้ที่ครอบครองความแข็งแกร่งอย่างน่าตกตะลึงย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นผู้ติดตาม ศิษย์ หรือบริวารของกองกำลังมหาอำนาจ… พวกเขาจะมีความก้าวหน้าทางสังคมอย่างรวดเร็ว และยืนหยัดพร้อมกับเพลิดเพลินไปกับทรัพยากรมากมาย

ขณะนี้ ในสนามประลองที่รองรับผู้ชมได้นับพันคน ที่นั่งทุกที่แน่นขนัด และกลุ่มของตู้ชิงซีก็เลือกที่นั่งตรงมุม ๆ หนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]