บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1267

บทที่ 1267 เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

บทที่ 1267 เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

หลังจากดื่มไปสองสามไหและเพลิดเพลินกับอาหาร เฉินซีก็เล่าประสบการณ์ที่ได้ประสบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเสร็จสิ้น และเขาก็ซักถามเกี่ยวกับภูเขาเซียนสายหมอก

เมื่อเรื่องนี้ถูกกล่าวถึง สีหน้าของวิปลาสหลิ่วกลายเป็นเคร่งขรึมทันที และเผยให้เห็นความเกลียดชังที่ไม่อาจปกปิดได้ราง ๆ

“พวกมันทำเพื่อกระบี่เต๋าวิบัติ” วิปลาสหลิ่วไม่คิดปิดบัง และกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อตอนที่ข้ายังอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน ข้าเคยได้ยินตำนานของกระบี่เล่มนี้มาบ้าง เมื่อครั้งที่บรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ท่านดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลได้บรรลุถึงขีดสุดของมหาเต๋า ครั้งนั้นเขาได้รับพลังแก่นแท้ของสวรรค์ น่าเสียดาย ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เขาต้องกลแผนร้ายของศัตรู และล้มเหลวก่อนที่จะทำได้สำเร็จ”

“ในช่วงเวลาที่ใกล้ดับสูญ ท่านบรรพชนได้ผนึกพลังแก่นแท้แห่งสวรรค์นี้ไว้ในกระบี่ แล้วจึงซ่อนมันไว้ภายในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตชั้นที่เก้าสิบเก้า ”

“ส่วนขุมพลังที่ชักใยอยู่เบื้องหลังภูเขาเซียนสายหมอก เป็นหนึ่งในศัตรูที่น่าเกรงขาม ซึ่งวางแผนร้ายต่อท่านบรรพชนเมื่อหลายปีก่อน บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันรู้ถึงความลับนี้ พวกมันจึงทำลายนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้”

ทันทีที่สิ้นคำ สีหน้าของวิปลาสหลิ่วก็มืดมนและอาฆาต แต่ใบหน้ากลับมีความรู้สึกที่สูญเสียมากกว่า ท้ายที่สุด กองกำลังของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียนได้ถูกถอนรากถอนโคนและไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว

“ทำไม… พวกมันถึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในตอนนี้?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้

ในความคิดของเขา ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลได้ดับสูญไปตั้งแต่ยุคบรรพกาล และจากปัจจุบันก็ถือว่าผ่านมานานมาก ทว่าภูเขาเซียนสายหมอกกลับเพิ่งเคลื่อนไหวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันน่าแปลกอย่างยิ่ง

“สาเหตุเป็นเพราะกระบี่เต๋าวิบัติ ตามตำนานเล่าว่า ความลึกลับของสวรรค์จะพังทลายลงในช่วงกลียุคของทั้งสามภพและระเบียบของฟ้าดินจะตกอยู่ในความโกลาหล ถ้าใครสามารถใช้พลังที่ผนึกอยู่ภายในกระบี่ คนผู้นั้นก็จะไร้เทียมทาน และยังได้รับผลประโยชน์มากมาย”

วิปลาสหลิ่วขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงตำนานและน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถยืนยันว่ากระบี่เต๋าวิบัตินั่นมีอยู่จริงหรือไม่”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เฉินซีก็เข้าใจในที่สุด และกล่าวกับตัวเองในใจว่า ‘มหาอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลังภูเขาเซียนสายหมอกนั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นนิกายอำนาจเทวะ และโดยธรรมชาติแล้ว มันเป็นหนึ่งในศัตรูที่วางแผนร้ายต่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล และฆ่าเขาไปเมื่อหลายปีก่อน สำหรับกระบี่เต๋าวิบัตินั้นมีอยู่จริง แต่น่าเสียดาย ข้าได้ให้คำสัญญากับผู้อาวุโสเต๋าบงกชว่าข้าจะไม่เปิดเผยสิ่งนี้แก่ใครอื่น…’

“ส่วนทำไมพวกมันถึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในตอนนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” คิ้วของวิปลาสหลิ่วขมวดเข้าหากันแน่น ขณะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ทว่าในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถสรุปเรื่องนี้ได้

“ไม่เป็นไร เราจะค้นพบคำตอบในสักวันหนึ่ง” เฉินซีกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหนักแน่น จากนั้นจึงกล่าวกับวิปลาสหลิ่วอย่างจริงจังว่า “ท่านอาจารย์ ในอนาคต ท่านและเซียวอวี่สามารถบ่มเพาะอย่างสงบสุขภายในเมืองเซียนสัประยุทธ์ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของข้าเอง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นข้าถึงจะวางใจได้”

วิปลาสหลิ่วถอนหายใจ พลางเผยรอยยิ้มอันขมขื่นเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ตอบตกลง เพราะตระหนักดีว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ และรังแต่จะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเฉินซีแทน

ดังนั้นบางทีการตัดสินใจที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว คือการยอมรับคำขอของเฉินซี

ในขณะนี้ ประตูห้องส่วนตัวถูกเคาะจากทางด้านนอก “พี่เฉิน ข้าเอง”

เฉินซียืนขึ้นและเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นเซวียนหยวนอวิ่นนั่นเอง เฉินซีต้อนรับเซวียนหยวนอวิ่นทันทีด้วยรอยยิ้ม จากนั้นวางตะเกียบอีกคู่ให้กับเซวียนหยวนอวิ่น

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ สายตาของเขากวาดไปทางด้านข้างของห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ และจากนั้นก็หยิบตะเกียบมา

“เรียบร้อยแล้ว ข้าสามารถพาอาจารย์เจ้าและนางกลับไปในคืนนี้” เซวียนหยวนอวิ่นดื่มสุราหนึ่งจอก ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะได้รับเกียรติมากกว่ากว่าข้า เมื่อเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทราบว่าเป็นเรื่องของเจ้า พวกเขาก็จัดแจงสถานที่บ่มเพาะชั้นยอดให้ทันที ทั้งยังบอกข้าว่า หากข้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี พวกเขาจะไม่ให้ข้าเหยียบย่างเข้าสู่ตระกูลแม้แต่ก้าวเดียว”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นก็ประสานมือและกล่าวว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าต้องขอบคุณพี่อวิ่นที่ช่วยจัดการให้”

“ถ้าเจ้าอยากขอบคุณข้าจริง ๆ เช่นนั้นพาข้าไปเลี้ยงอาหารดี ๆ และสุราเลิศรสสักมื้อสิ ตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยมีโอกาสได้ดื่มกันเลยสักครั้ง” เซวียนหยวนอวิ่นหัวเราะลั่น

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ทว่าก่อนที่จะสิ้นเสียงของเซวียนหยวนอวิ่น เสียงเคาะอันหนักหน่วงและรุนแรงก็ดังก้องขึ้น ทั้งยังไม่ต่างอะไรกับการทุบประตู ซึ่งดูเสียมารยาทอย่างยิ่ง

พร้อมกับเสียงแข็งกร้าวก็ดังเข้ามาในห้อง “สหาย สหายในห้อง โปรดเปิดประตูเร็วเข้า เรากำลังตามล่าหัวขโมยอยู่ รบกวนเวลาไม่นาน เราจะจากไปทันทีหลังจากที่ค้นห้องเสร็จ”

คิ้วของเซวียนหยวนอวิ่นเลิกขึ้น ในขณะที่สีหน้าหมองลง เขากำลังใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้เพื่อร่ำสุรากับเฉินซี และทำให้มิตรภาพของพวกเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่กลับถูกขัดจังหวะ ดังนั้นจะไม่ให้ขุ่นเคืองได้อย่างไร?

“ผายลมอันใดกัน? ที่นี่จะมีโจรเข้ามาได้อย่างไร? ให้ข้าดูว่าเจ้าเป็นใครกันถึงกล้ากล่าวอวดดีเช่นนี้!” เซวียนหยวนอวิ่นทำตามที่กล่าว และกำลังจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับถูกหยุดโดยเฉินซีซึ่งยิ้มพลางส่ายหัว “ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญหรอก”

เฉินซีเพิ่งรู้สึกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ และไม่ต้องการให้วิปลาสหลิ่วกับชีเซียวอวี่เป็นห่วงตน ดังนั้นเมื่อใดที่สามารถถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงดีกว่า

เซวียนหยวนอวิ่นหัวเราะอย่างขมขื่นและทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงกล่าวว่า “เฮ้อ การทำเช่นนี้ รังแต่จะทำให้พวกมันกล้าล่วงเกินมากขึ้น”

แน่นอน ทันทีที่สิ้นคำ ประตูที่ถูกปิดผนึกโดยข้อจำกัดอย่างหนาแน่นเป็นชั้น ๆ ก็ถูกระเบิดออก อันที่จริง มันถูกเตะจนเปิดออกอย่างแรง!

คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย คนที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มในชุดคลุมปักดิ้นทอง เขาโบกมือและกล่าวว่า “ค้นให้ทั่ว! ข้อจำกัดของภัตตาคารเซียนเสน่หาถูกเปิดใช้งานแล้ว เจ้าหัวขโมยน้อยไม่มีทางหนีไปได้!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]