บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 130

บทที่ 130 ฝึกดุเดือดก่อนลงสู่สังเวียน
บทที่ 130 ฝึกดุเดือดก่อนลงสู่สังเวียน

รุ่งเช้าวันใหม่

เฉินซีไม่รอช้าและรีบออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทันที เขาไม่ต้องหลีกหลบมหาค่ายกลคุ้มนิกายแล้ว เพราะเขาได้นำตราคำสั่งออกมาด้วย ซึ่งมันจะทำให้เขาสามารถเข้าสู่ค่ายกลได้ราวกับกำลังเดินทอดน่องอยู่ในลานบ้าน

ตราคำสั่งมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ มันถูกแกะสลักเป็นรูปกระบี่ขนาดจิ๋วสีสันสดใส เพียงเห็นแวบเดียวราวกับมีกระบี่เล่มน้อยกำลังจะทะยานออกมาจากตราคำสั่งได้อย่างน่าอัศจรรย์

เป่ยเหิงเป็นคนมอบตราคำสั่งนี้ให้แก่เฉินซี เพื่อให้เขาสามารถจรไปมาภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งยังทำให้ชายหนุ่มไปเยี่ยมเฉินฮ่าวได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย

‘เคราะห์ดีที่เป่ยเหิงจะยังไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับข้าจนกว่างานเทียบอันดับมังกรซ่อนจะจบลง ข้าจะได้เบาใจได้ว่าเวลาที่ข้าลงสนาม จะได้มีแผนสำรองสำหรับปกป้องเฉินฮ่าวเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้’ เฉินซีค่อย ๆ นึกทบทวนเรื่องที่ตนสนทนากับเป่ยเหิงเมื่อคืนก่อน และเมื่อมั่นใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงสงบสติอารมณ์ลงได้

“เฉินซี เจ้าจะฝากความหวังไว้กับตาแก่น่ารำคาญนั่นไม่ได้นะ” หลิงไป๋ที่อยู่บนหัวไหล่ของเฉินซีเอ่ยย้ำเตือนราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา

“ข้าไม่ทำแน่” ชายหนุ่มพยักหน้า และจู่ ๆ ก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้บางอย่างจึงถามกลับทันที “เออจริงสิ เจ้าสังเกตเห็นความแข็งแกร่งของสตรีที่ปลอมเป็นชายคนนั้นหรือไม่”

“น่ากลัวมาก น่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ!” แววตาของหลิงไป๋เผยให้เห็นความจริงจังขณะเอ่ยตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซีก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แม้จะมีส่วนสูงเพียงสิบกระเบียด แต่หลิงไป๋ตัวน้อยนั้นมีความภาคภูมิใจและทะนงในความแกร่งกล้าของตนเองสูงมากเสียจนไม่เกรงกลัวผู้ใด กระนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสตรีลึกลับคนนั้น หลิงไป๋กลับหวาดกลัวขึ้นมา อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าระดับบ่มเพาะของสตรีลึกลับผู้นั้นจะบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์หรือเหนือกว่าไปแล้ว?

“เฉินซี แล้วเจ้าไปเป็นศิษย์น้องเล็กของนางได้อย่างไร” หลิงไป๋กล่าวถามด้วยสีหน้างงงัน

เฉินซียักไหล่ “ข้าเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”

“นี่พวกเรากำลังจะไปไหน” จู่ ๆ เด็กน้อยก็เปลี่ยนเรื่องและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พวกเราออกไปจับสัตว์อสูรมาย่างกินกันดีไหม”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้ งานเทียบอันดับมังกรซ่อนใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า” เฉินซีปฏิเสธเสียงเรียบโดยไม่สนใจสายตาแสดงความไม่พอใจของหลิงไป๋ จากนั้นชายหนุ่มก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อรีบไปยังเมืองทะเลสาบมังกร

ณ ห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลซู

ประมุขแห่งตระกูลซู… ซูเจิ่นเทียนยังนั่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อคืน ยามท้องฟ้าเริ่มสว่าง สีหน้าของเขาก็ยิ่งหม่นหมองด้วยความกังวลและความกังขา

“เจิ่นเทียน เป็นไปได้หรือว่าเฉินเอ๋อร์จะไม่ได้รับข้อความ?” ผู้อาวุโสสูงสุดซูหลิงเฟิงผู้มีรูปลักษณ์ประหนึ่งหนุ่มรุ่นเยาว์ถามเสียงเข้ม

“ไม่มีทาง คืนก่อนมีคำยืนยันมาว่าเขาได้รับแผ่นหยกกระแสจิตแล้ว ส่วนที่ว่าเหตุใดเขาจึงไม่จับเฉินฮ่าวกลับมานั้น…” ขณะตอบหัวคิ้วของซูเจิ่นเทียนก็ขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงแฝงด้วยความงุนงง “หรือว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดี?”

“ไม่มีทาง เจ้าเฉินฮ่าวน้องชายของเฉินซีถูกเนรเทศไปอยู่ที่ยอดเขามังกรอเวจีของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว ตอนนี้สถานะของมันไม่ต่างอะไรกับกุลีชั้นต่ำ การที่เฉินเอ๋อร์ไปจับตัวมันจึงไม่ควรยากกว่าพลิกฝ่ามือ แล้วเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” ซูหลิงเฟิงส่ายศีรษะปฏิเสธความเห็นนั้นอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนั้นเอง ซูเจียวเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ โดยไม่สนใจจะทักทายคนผู้เป็นบิดาและผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างตรงเข้าประเด็นทันที “ก่อนหน้ามีศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาที่นี่และนำแผ่นหยกกระแสจิตของพี่ใหญ่มาให้เราเจ้าค่ะ”

ซูเจิ่นเทียนและซูหลิงเฟิงหันไปสบตากันทันที หัวใจของทั้งสองกระตุกวูบด้วยลางสังหรณ์ร้าย

ซูเฉินเป็นศิษย์สายในของบรรพจารย์หลิงตู้ ถ้าเป็นในยามปกติการขอให้ช่วยนำบางอย่างกลับมาอาจเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ ทว่าเรื่องเมื่อคืนถือเป็นความลับสุดยอด ยามนี้เขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเอง แต่กลับส่งคนให้นำแผ่นหยกกระแสจิตกลับมาให้ตระกูล เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝันขึ้นอย่างนั้นหรือ?

ซูเจิ่นเทียนฝืนข่มความรู้สึกว้าวุ่นใจ ขณะที่เขาถามเสียงต่ำ “แผ่นหยกมีข้อความว่าอะไร”

“พี่ชายข้าส่งข่าวมาว่า…” ซูเจียวมีท่าทีอึกอัก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะยินยอมและขุ่นเคือง “เขาบอกว่าเฉินฮ่าวได้เป็นศิษย์สายตรงของบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน และเพราะเหตุนี้เขาจึงถูกกักตัวไว้ในที่พำนักของบรรพจารย์ใหญ่”

‘บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอย่างนั้นหรือ!’ ซูเจิ่นเทียนตะลึงงัน ในฐานะผู้นำของหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร เขาย่อมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป และบางทีเขาก็รู้ในสิ่งที่คนในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

เท่าที่รู้ เหวินเสวี่ยนคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ซึ่งมีความแข็งแกร่งน่ากลัวจนแม้แต่บรรพจารย์หลิงตู้ยังให้ความเคารพ โดยยกย่องให้เหวินเสวี่ยนเป็นผู้อาวุโส แต่เนื่องจากเหวินเสวี่ยนอาศัยอยู่บนภูเขาอย่างสันโดษมานานปี ดังนั้นชื่อเสียงของเขาจึงไม่เป็นที่โจษจันเท่าบรรพจารย์หลิงตู้ ทว่าหากมีใครกล้าดูหมิ่นเหวินเสวี่ยนผู้นี้ละก็ถือว่าผู้นั้นทำพลาดครั้งใหญ่

“เฉินเอ๋อร์ส่งข่าว…ว่าเฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของบรรพาจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอย่างนั้นหรือ…” ซูหลิงเฟิงพึมพำซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

แม้ว่าตอนนี้ตนจะได้รับเกียรติในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลซู ทว่าการบ่มเพาะของเขายังชะงักค้างอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ ซึ่งห่างจากขอบเขตจุติอีกเพียงก้าวเดียว แต่ถึงแม้เขาจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตจุติสำเร็จก็ยังด้อยกว่าบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าเฉินฮ่าวได้คนระดับเหวินเสวี่ยนเป็นอาจารย์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจรุนแรง

“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น มิเช่นนั้นเฉินเอ๋อร์ต้องจับตัวเฉินฮ่าวกลับมาที่ตระกูลเราตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว” ครู่ต่อมา ซูเจิ่นเทียนกลับมามีท่าทีสงบนิ่งดังเดิม จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาช้า ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าเกรงว่าวิธีที่จะใช้เฉินฮ่าวล่อให้พี่ชายของเขา…เฉินซีเข้ามาติดกับเห็นทีจะทำไม่ได้”

“บัดซบ! อย่างว่าแต่ทำไม่ได้เลย ถ้าเราทำให้พี่ชายของเขาพินาศ เฉินฮ่าวก็จะโกรธจัดและอาจถึงขั้นไปขอความช่วยเหลือจากบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลซูของเราต้านทานไม่ไหวแน่” เสียงแหลมเล็กของซูหลิงเฟิงเอ็ดตะโรลั่น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]