บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 132

บทที่ 132 กฎ

ณ เจดีย์บำเพ็ญทุกข์!

เมื่อเฉินซีเห็นเจดีย์หยกขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวรรค์และโลกก็รู้สึกตกตะลึง เท่าที่เขาทราบมา เจดีย์นี้มีมิติเป็นของมันเอง ภายในนั้นถูกแบ่งเป็นสี่ชั้น ได้แก่ ชั้นแปดทิศทาง ชั้นสี่สัญลักษณ์ ชั้นหยินหยาง และชั้นเอกภาพ ทุกชั้นเป็นโลกที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้บ่มเพาะทุกคนที่เข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนจะถูกพาเข้าไปในเจดีย์เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้เป็นสนามรบหลักของงานเทียบอันดับมังกรซ่อนนั่นเอง

ว่ากันว่าเจดีย์นี้แต่เดิมเป็นสิ่งประดิษฐ์ของเซียนในตำนาน แต่มันกลับได้รับความเสียหายและพังทลายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งมันยังสูญเสียประสิทธิภาพที่น่าอัศจรรย์ต่าง ๆ และเหลือเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า แต่ก็ไม่มีใครสามารถดูดซับปราณวิญญาณของมันได้ ในท้ายที่สุด ภายใต้การขัดเกลาของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในรุ่นก่อน ๆ ของนิกายต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกร มิติภายในสถานที่แห่งนี้จึงถูกกู้คืนกลับมาได้

เนื่องจากมันมีมิติเป็นของตัวเอง จึงถูกใช้เป็นสถานที่ทดสอบเหล่าลูกศิษย์ และนี่คือที่มาของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน

ในขณะนี้ มีฝูงคนมากมายอยู่ใกล้กับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เมื่อมองไปรอบ ๆ สิ่งที่เห็นก็คือหัวมนุษย์จำนวนมาก นับว่าโชคดีที่สถานที่นี้กว้างขวางและโล่งพอสมควร จึงดูไม่แออัดเมื่อมีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน

ที่เบื้องหน้าเจดีย์มีแท่นหยกขนาดใหญ่ที่มีความยาวร้อยยี่สิบจั้งและกว้างหกสิบจั้ง มีหลังคาที่ดูคล้ายร่มที่สามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ทั้งหมดถูกกางออกอยู่บนแท่นหยก ด้านบนสุดของท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก ขณะที่ปราณมงคลนับพันสายและแสงหลากสีมากมายลอยออกมาจากมัน และรัศมีของสมบัติวิเศษก็พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถูกสำแดงพลังจากศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ ‘ธงทองหกสุริยัน’ ซึ่งอยู่ในการครอบครองของประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ‘หลิงคงจื่อ’ หากมีคนอยู่เบื้องล่างสมบัติวิเศษนี้ เขาจะรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่ระหว่างต้นสนกับเมฆขาวที่พัดผ่าน อีกทั้งสภาพแวดล้อมก็ไม่อาจกร้ำกรายพื้นที่ด้านล่าง สมบัติวิเศษเช่นนี้นับว่าน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ในขณะนี้ บุรุษและสตรีผู้มีท่าทางสง่าผ่าเผยมากกว่าสิบห้าคนนั่งอยู่บนแท่นหยกใต้หลังคา

ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือชายชราในชุดสีฟ้า มุมปากของเขาแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับหยก ดวงตาที่ปิดสนิทดูเหมือนมีลำแสงจากสวรรค์ล่องลอยอยู่ภายใน ให้ความรู้สึกลึกลับและลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง

ชายชราในชุดสีฟ้าก็คือ หลิงคงจื่อ ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนทางใต้!

ที่สองด้านของหลิงคงจื่อ คือเหล่าบุคคลสำคัญของแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ พวกเขามีกลิ่นอายลึกล้ำและน่าเกรงขาม ซึ่งเผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะอันลึกซึ้งของพวกเขา

ในหมู่พวกเขามีสตรีคนหนึ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษ นางสวมชุดราชวงศ์ที่ปักลายเปลวเพลิง ผมสีดำของนางถูกเกล้ามวยไว้ ลำคอที่เรียวบางมีสีขาวราวกับหิมะ รูปร่างหน้าตาของนางขาวนวลและเนียนละเอียดเสมือนดอกบัวที่บานสะพรั่ง ทำให้นางดูงดงาม แต่ท่าทางของนางกลับเย็นชาจนสุดขั้วหัวใจ เมื่อดวงตาที่เรียวรีของนางกวาดผ่านไป ราวกับมีสายฟ้าผ่ากลางท้องฟ้า จนไม่มีผู้ใดกล้าสบตากับนาง

นางคือท่านหญิงซิงอวิ้น ประมุขนิกายบุปผาหยก ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดนิกายใหญ่ และเป็นประมุขหญิงเพียงคนเดียวในบรรดากองกำลังต่าง ๆ อีกทั้งความแข็งแกร่งของนางก็ไม่อาจหยั่งถึง

บรรดาผู้นำของกองกำลังอื่น ๆ ก็มีท่าทางที่น่าเกรงขามและไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาทั้งสิบห้าคนขึ้นไปนั่งที่แท่นหยก แม้ว่าพวกเขาจะเงียบสนิท แต่พลังอันน่าเกรงขามที่ปล่อยออกมา กลับทำให้สิ่งรอบข้างหยุดชะงักจนไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงดังออกมา

เมื่อเฉินซีมาถึง รอบ ๆ เจดีย์ก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อยกว่าแสนคน ฉากนี้ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์และทำให้หัวใจของทุกคนที่มาร่วมงานต้องตกตะลึง

ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าลูกศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ ที่ตรวจสอบความปลอดภัยอยู่ท่ามกลางฝูงชน ภาพที่เห็นก็คงจะแออัดยิ่งกว่านี้จนถึงขั้นที่แม้แต่น้ำก็เล็ดลอดผ่านไม่ได้

“ดูนั่นสิ ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้อยู่ที่นั่นแล้ว” ตู้ชิงซีชี้ไปที่ลานโล่งหน้าแท่นหยกขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน

เฉินซีเงยหน้ามอง และเห็นผู้คนไม่น้อยกว่าแปดพันคนยืนอยู่ในลานโล่ง มีทั้งบุรุษและสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาเยาว์วัยมากมาย

พวกเฉินซีไม่ได้รั้งอยู่ในฝูงชนอีกต่อไปและรีบเดินไปยังลานโล่ง

ที่ทางเข้าด้านหน้าลานโล่งมีผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งสองคนสะพายกระบี่ไว้บนหลังและสวมชุดสีดำ เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของเฉินซี หนึ่งในนั้นก็กล่าวออกมาว่า “หยุดก่อน จงแสดงตราคำสั่งของเจ้าซะ”

เฉินซีหยิบตราคำสั่งที่เขาได้รับตอนที่ลงทะเบียนที่ห้องโถงใหญ่ของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งและยื่นออกไปในทันที

“เฉินซี ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดารา อายุสิบเจ็ดปี…” ผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งคนนี้ตกตะลึงขณะแววตาดูชอบกล จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หยกที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาและส่งมอบให้กับเฉินซีพร้อมกับตราคำสั่ง

กลุ่มของตู้ชิงซีก็หยิบตราคำสั่งของพวกเขาออกมาเช่นกัน แต่ตรานั้นไม่เหมือนกับเฉินซีตรงที่ตราคำสั่งของพวกเขาได้มาจากตระกูลที่อยู่เบื้องพลังของพวกเขา ผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งผู้นี้ไม่คิดจะชายตามองตราคำสั่ง ก่อนที่จะหยิบยันต์หยกขึ้นมาสามชิ้นและมอบให้แก่พวกเขา

“ยันต์หยกนี้คือยันต์เคลื่อนย้ายหรือ?” เฉินซีหวนนึกถึงกฎของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน หลังจากที่เข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และเผชิญกับภัยอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต เพียงบดขยี้ยันต์หยกก็จะสามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้ ทว่าหากถูกฆ่าตายก่อนที่จะบดขยี้ยันต์หยกทัน ดังนั้นจึงควรโทษตัวเองที่อ่อนด้อยเกินไป

บททดสอบเช่นนี้จะไม่มีผู้เสียชีวิตได้อย่างไร?

“เจดีย์บำเพ็ญทุกข์แบ่งออกเป็นสี่ชั้น ได้แก่ แปดทิศทาง สี่สัญลักษณ์ หยินหยาง และเอกภาพ ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมทั้งหมดจะถูกส่งไปยังชั้นแปดทิศทาง เมื่อมีคนยึดตราคำสั่งมาจากผู้อื่นจนได้จำนวนที่เพียงพอ คนผู้นั้นจะถูกส่งไปยังชั้นที่สองโดยอัตโนมัติ ซึ่งก็คือชั้นสี่สัญลักษณ์ หลังจากนั้น จะมีการต่อสู้เพื่อยึดตราคำสั่ง และทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าสู่ชั้นสูงสุด นั่นคือ ชั้นเอกภาพ และต้องต่อสู้อยู่ข้างในนั้น คนที่สามารถยืนหยัดจนถึงที่สุดจะเป็นบุคคลที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน”

“สิ่งใดคือจำนวนที่เพียงพอหรือ?”

“การยึดตราคำสั่งเป็นเพียงวิธีผลักดันให้เจ้าต้องต่อสู้ และไม่ว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปในชั้นที่สูงขึ้นของเจดีย์ได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถยืนหยัดจนถึงที่สุดได้หรือไม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติจากปีก่อน ๆ มีเพียงสองพันคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในชั้นที่สองของเจดีย์ ได้ ทั้งสองพันนี้จะต้องผ่านการต่อสู้เพื่อกำจัดอีกหนึ่งพันเก้าร้อยคน และมีเพียงหนึ่งร้อยคนที่เหลือเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ชั้นที่สามได้ หลังจากการต่อสู้ในรอบนี้ จะมีเพียงสิบคนสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ชั้นสูงสุด นั้นคือชั้นเอกภาพและต้องต่อสู้ตัดสินเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะคนสุดท้าย”

“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง ผู้ที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สามคือผู้ที่ติดร้อยอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ผู้ที่เข้าสู่ชั้นที่สี่คือผู้ที่ติดสิบอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน และหลังจากต่อสู้จนจบ คนสุดท้ายที่ยังคงอยู่คือผู้ที่อยู่ในอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน!”

“ใช่แล้ว แต่สถานการณ์การต่อสู้ในปีนี้คงจะเข้มข้นกว่าปีก่อน ๆ เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีผู้บ่มเพาะกี่คนที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้? มันมากกว่าหนึ่งหมื่นคนเลยนะ! นั่นก็หมายความว่า หลังจากที่เข้าสู่ชั้นแรกของเจดีย์แล้วต้องกำจัดผู้คนกว่าแปดพันคนขึ้นไป!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]