บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1469

บทที่ 1469 ขัดเกลารากฐานแห่งเต๋า

……………………………………………………………………..

บทที่ 1469 ขัดเกลารากฐานแห่งเต๋า

ขวับ!

เฉินซีลงมืออีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ครั้งก่อนที่เขาได้รับ คราวนี้จึงสามารถบรรลุผลสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ที่กระจ่างราวแก้วอันประกายด้วยแสงดาราเยือกเย็นแผ่กระจายออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด มันดักจับเศษซากของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า หลังจากนั้นเขาก็มอบมันให้แก่ผู้อาวุโสแห่งตระกูลจั่วชิวที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นตามลำดับ

ผู้เฒ่าทั้งหลายต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโชคลาภยิ่งใหญ่ พวกเขาทรุดตัวลงขัดสมาธิและเริ่มดูดซับมันอย่างเต็มกำลังโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าตนจะต้องสูญเสียโอกาสอันล้ำค่าเช่นนี้ไป

“ศิษย์น้องเล็ก เราจะรอเจ้าอยู่ที่แดนเทพโบราณ โปรดรักษาตัวด้วย!”

“ฮ่า ๆ ๆ! ศิษย์น้องเล็ก ข้าคงต้องไปแล้ว ขอตัวลา!”

“ศิษย์น้องเล็ก จำไว้ว่าจะอ่านคิดสิ่งใดเจ้าต้องคิดอ่านในความจริง หากถามว่าความจริงคือสิ่งใด? คำตอบหาได้อยู่ที่อื่นใดนอกจากในหัวใจของเจ้าเอง เจ้าต้องซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตนเอง ฆ่าเมื่อควรฆ่า ถอยเมื่อควรถอย ด้วยวิธีนี้ แม้แต่เทวาแห่งฟ้าดินหรือมารอสูรอื่นใดในสากลโลกก็ไม่อาจย่ำกรายเจ้าได้!”

ตอนนั้นเอง สุ้มเสียงแห่งการอำลาดังก้องมาจากผืนฟ้า มันเป็นเสียงของศิษย์พี่หลียาง ศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ ศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่า ที่กำลังกล่าวอำลาเฉินซี

ทันใดนั้น เฉินซีหยุดการเคลื่อนไหวลงและเงยหน้าขึ้นมองยังเบื้องบนด้วยความรวดเร็ว สายตาของเขาแปรบปราบราวสายฟ้าเยียบเย็น มองเที่ยอวิ๋นไห่และคนอื่น ๆ พุ่งตรงข้ามผ่านโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชานับอนันต์ ก่อนจะเข้าไปในประตูที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

เสียงของพวกเขายังคงสะท้อนก้องในโสตประสาท แม้ว่าร่างจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

เฉินซียืนเอามือไพล่หลัง เสื้อผ้าพัดกระพือไปตามสายลม แววตาที่ทอดมองออกไปไกลมีเพียงความว่างเปล่า ความรู้สึกซับซ้อนวุ่นวนอาละวาดอยู่ภายในจิตใจราวคลุ้มคลั่ง ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดและเลือกที่จะสลัดมันทิ้งไป

เขาหย่อนกายนั่งขัดสมาธิ และเริ่มเข้าสู่ภวังค์ฌานเพื่อดูดซับพลังจากโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาสู่ร่างกาย

เฉินซีตระหนักดีว่า ไม่ว่าจะเป็นการทวงแค้นให้แก่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หรือการต่อสู้กับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่กวาดล้างทั้งสามภพ เขาก็ต้องเข้าไปยังแดนโลกาวินาศในสักวัน

นั่นเป็นเพราะนิกายอำนาจเทวะยังไม่ล่มสลาย!

ยิ่งไปกว่านั้น วิถีแห่งโอกาสที่จะนำทางไปสู่แดนเทพโบราณนั้นอยู่ภายในแดนโลกาวินาศ เส้นทางสู่มหาเต๋าไม่มีวันสิ้นสุดลงตลอดชีวิตของคนผู้หนึ่งฉันใด หนทางของเขาก็ไม่มีทางจะหยุดลงเพียงเท่านี้เช่นกัน!

ภายในแดนซ่อนเร้นซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับในภพทั้งสาม ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยภูเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อน รูปลักษณ์ที่แตกต่างกันของพวกมันเรียงตัวกันอย่างกระจัดกระจายราวดวงดาวบนท้องฟ้าซึ่งปลดปล่อยปราณเทวะทั้งห้าสีออกมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังอาบไล้ไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันที่ส่องสว่างไปทั้งฟ้าดินไม่ต่างภาพฝันลวงตา

นี่คือที่ตั้งของหนึ่งในสามสุดยอดมหานิกายแห่งสามภพ ตำหนักเต๋าหนี่หวา พิภพเบญจขันธ์!

ณ ตำหนักเยียวยาสวรรค์

ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่หนี่หวา บรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนักเต๋าหนี่หวาใช้สำหรับบ่มเพาะ ตามตำนานเล่าขาน มันถูกสร้างขึ้นจากศิลาเบญจรงค์โกลาหล และถูกปกคลุมอย่างแน่นหนาไปด้วยข้อจำกัดเทวะ ซึ่งมีความลึกล้ำอย่างเหลือล้น หากจะกล่าวว่าที่นี่เป็นแดนสวรรค์บนดินแห่งสามภพก็คงไม่ผิดนัก

ตอนนี้เอง กลุ่มชายหญิงผู้มีรูปลักษณ์อย่างนักปราชญ์ได้รวมตัวกันที่ชานด้านนอกของตำหนักเยียวยาสวรรค์ ท่าทางของพวกเขาล้วนแต่เคร่งขรึมไปด้วยความเคารพนบนอบ คล้ายกำลังรอคอยซึ่งบางสิ่ง

หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่ากลิ่นอายที่โอบล้อมพวกเขาคลับคล้ายกับเหวลึกซึ่งมีเพียงความว่างเปล่า ร่างกายเต็มไปด้วยรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพเซียนผู้สง่างามได้มารวมตัวกันและสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้ใจของผู้พบเห็นต้องสั่นไหว

ใช่แล้ว นี่คือกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวา!

“พวกเจ้าทั้งหลาย บัดนี้ท่านประมุขมีคำสั่ง พวกเจ้าจงลงมือโดยทันที ไม่จำต้องรออีกต่อไป” ทันใดนั้น กวางสีขาวตัวหนึ่งซึ่งทั่วทั้งเรือนกายของมันเปล่งประกายด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าสีปรากฏตัวขึ้นจากอากาศเบาบาง มันยืนตระหง่านกลางผืนฟ้าพร้อมกับส่งเสียงที่กังวานดังระฆังในยามเช้า

“ลู่เอ๋อร์ แต่บรรดาท่านประมุขแห่งตำหนักจตุรวิญญาณกับศิษย์สืออวี๋และเซียงหลิวหลียังไม่กลับมาเลย เหตุใดพวกเราไม่รอพวกเขาอีกสักหน่อยเล่า?” สตรีผมสีม่วงผู้เป็นผู้นำกลุ่มซึ่งสวมอาภรณ์ผ้าแพรโปร่งบางราวเซียนสาวและกวานสีแดงเพลิงถามขึ้นทั้งใบหน้าสงบ

คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วยตามลำดับ

“พวกเจ้าทั้งหลาย มีบางอย่างที่พวกเจ้ายังไม่ทราบ ประมุขตำหนักจตุรวิญญาณ รวมทั้งศิษย์สืออวี๋และเซียงหลิวหลีได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศพร้อมกับนายท่านสามแห่งเขาเทพพยากรณ์และคนอื่นๆ แล้ว” กวางขาวตอบ

“เช่นนั้น… เมื่อพวกเราจากไปแล้ว แล้วบรรดาศิษย์ทั้งหลายในนิกายเล่า?” สตรีผมม่วงขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล

“ท่านประมุขได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้เคล็ดวิชาเทวะขั้นสูงเพื่อปิดผนึกพิภพเบญจขันธ์ไว้ภายในเมล็ดผักกาดขาว*[1] ด้วยวิธีนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภัยพิบัติ” กวางขาวตอบด้วยเสียงเรียบเฉย คล้ายว่าแผนนี้ได้ถูกเตรียมการมาอย่างยาวนานแล้ว

เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น ทุกคนรวมถึงหญิงสาวผมม่วงก็คลายใจลง พวกเขาไม่ลังเลที่จะกล่าวคำอำลาและจากไป

“ลู่เอ๋อร์ เจ้ายังจำเส้นทางที่นำไปสู่แดนเทพโบราณได้หรือไม่?” หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว เสียงแว่วหนึ่งก็ดังออกมาจากส่วนลึกของตำหนักเยียวยาสวรรค์

“เรียนท่านประมุข ศิษย์ไม่กล้าลืมมันแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้ที่ศิษย์มี เส้นทางนี้ปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบครองของประมุขนิกายอำนาจเทวะ และดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงเส้นทางเดียวในแดนโลกาวินาศที่ยังหลงเหลืออยู่เจ้าค่ะ”

“ประมุขนิกายอำนาจเทวะ… ช่างเถิด มากับข้า เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนฝูซีและคนอื่น ๆ ใช้มันเป็นเส้นทางของตน แน่นอนว่าจะต้องมีความลับที่ไม่ธรรมดาซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น”

“ท่านประมุขเจ้าคะ ท่านตั้งใจที่จะต่อสู้กับประมุขนิกายอำนาจเทวะอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ล่ะ เขาควบคุมเส้นทางได้ แต่ไม่มีทางขัดขวางฝีเท้าของข้าได้ ลู่เอ๋อร์ เจ้าจงไปผนึกพิภพเบญจขันธ์เสีย แล้วมากับข้า บ่วงกรรมใดที่เกิดขึ้นในภพทั้งสามถึงคราวต้องสิ้นลงในแดนเทพโบราณเสียที…”

“รับทราบเจ้าค่ะ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]